เสวนาน้ำปัสสาวะ กับการดูแลรักษา แผลไฟใหม้ แผลเบาหวาน แผลเปื่อย แผลอักเสบ แผลติดเชื้อ

งานเสวนาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดรักษาโรค หรือที่รู้กันโดยทั่วไปคือ “กินฉี่รักษาโรค” โดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมที่คร่ำหวอดในวงการความป่วยและความทุกข์มากันคนละไม่มากก็น้อย ในปัจจุบันพวกเขาสามารถหายจากโรคเหล่านั้นด้วยหลักการยา 9 เม็ดของแพทย์วิถีธรรม และที่สำคัญคือมีการใช้ น้ำปัสสาวะเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการรักษา ไม่ว่าจะดื่มน้ำปัสสาวะ ทาน้ำปัสสาวะ แช่น้ำปัสสาวะ สวนล้างลำไส้ด้วยน้ำปัสสาวะ ฯลฯ อีกมากมายที่จะนำมาแบ่งปันกัน ติดตามชมในคลิปวีดีโอได้เลย

งานถอดเทป วันที่ 05 กันยายน 2562 เรื่อง งานเสวนากรณีศึกษา น้ำปัสสาวะ กับการดูแลรักษา แผลไฟใหม้ แผลเบาหวาน แผลเปื่อย แผลอักเสบ แผลติดเชื้อ

ผู้วิพากษ์ การใช้น้ำปัสสาวะในแผลต่าง ๆ

ต่อไปก็ป็นผู้วิพากษ์แต่ละท่าน ท่านละ 5 นาที

 

ผู้วิพากษ์  เอมอร (พยาบาลชำนาญการ)

กราบอาจารย์ค่ะ แล้วก็เจริญธรรมสำนึกดีค่ะ เอาเลยนะ การหายของแผลเนี่ย มันต้องใช้ โลหิต คือเราทุกเซลล์ถูกเลี้ยงด้วยเลือด ถ้าเลือดเราดี มันจะงอกได้เร็วมาก ถ้าเลือด เป็นด่าง 7.35-7.45 มันจะมีพลังในการงอกมากแล้วพี่ป้อมบอกว่าทำไม 9 วันหายใช่ไหมครับ ทำไม 9 วัน ถึงหาย เพราะว่าใน 1 นาที เซลล์เราต้องตาย 200 ล้านเซลล์ แล้วก็งอกมาใหม่ 200 ล้านเซลล์ แล้วน้องเขากินข้าวต้มใส่เกลือ ไอเกลือมีพลังในการหดตัวของกล้ามเนื้อ แล้วแผลจะแคบเข้าๆ ส่วนคนที่เป็นเบาหวาน แผลจะยืดออกๆแต่ถ้าเขากลับมากินข้าวกับเกลือหรือผัก มันเป็นด่าง เลือดจะเป็นด่าง เพราะฉะนั้นแผลจะหดเร็วมากเลย แล้วที่มันเป็นด่างนะ มันทำให้มีการเนลลิ่งให้ดีมาก ก็เลยไปขอ เครื่องตรวจด่าง PH ของยูรีน แล้วก็เก็บยูลีนมาไว้ เก็บมาสองปีกว่า อันนี้เก็บไว้สองปีปรากฏว่า เช็ค PH ดู เอาให้ชัดๆเลยนะคะ ตอนนี้ไอนี้มันยูลีนเก็บไว้ประมาณ เอาอันที่ไม่ใช้ทีนะคะ อันที่ไม่ใช้มันจะอยู่ค่าแบบนี้ มันจะอยู่เงี้ย มันจะมีโปรทีเอส โปรตีน แล้วก็กลูโคส พอเราจุ่มไปในน้ำปัสสาวะที่เก็บไว้ประมาณ 2 ปี มันจะได้เป็นด่างมากเลย ประมาณ 9 แล้วก็เอาน้ำปัสสาวะที่ว่าเป็นน้ำปัสสาวะกลั่นมาดูว่า อยากจะรู้ว่ามันเป็นจริงไหม เรื่องด่าง ก็เลยเอาหยอดดูเลยค่ะ ว่ามันเป็นด่างจริงๆไหม น้ำด่าง อะไรก็ได้ที่เป็นด่าง อะไรก็ได้ที่เป็นด่าง มันจะทำให้มีการเนลลิ่ง เพราะสภาพด่าง มันทำให้เลือดมันตีกระจายตัวออกมา มันมีพลังมากในการบำบัดเซลล์ ไม่ได้บอกว่ายูรีนมันดี แต่ว่าอะไรที่เป็นด่าง รวมทั้งอาหารที่กินเข้าไป ที่เป็นสภาพด่าง จะทำให้มีการ งอกใหม่ของระบบร่างกายดีมาก แล้วก็มีคนจะกิน เอาปูนใส ปูนแดงไปเผาใช่ไหมคะ นั่นแหละ อันนั้นก็ด่างด้วย เพราะฉะนั้นมันทำให้มีการงอกของแผลเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็มันในสภาพที่ร่างกายพอสภาพเป็นด่างมันจะทำงานคล่องมาก แต่สภาพเป็นกรด ร่างกายจะเริ่มแย่เลยทันที ถ้าอยู่โรงพยาบาล คนไหนเป็นกรด หมอจะกลัวมาก เวลาคนไข้อยู่ไอซียู เกิดสภาวะ แอซิโรซิส เก้าเหมือนกันนะคะ ยูรีน เก็บไว้สองปีกว่า แล้วก็ อันนึงแล้วก็อีกอันนึงเป็นยูรีนที่ว่าสกัดมา กลั่นออกมาก็มีฤทธิ์เป็นด่างเท่ากัน น้ำด่างพวกนี้พอเข้าร่างกายปุ๊บ มันจะทำให้ร่างกายเป็นด่าง พอร่างกายเป็นด่าง ระบบเลือดเซลล์เม็ดเลือดแดงทำงานดีมาก สภาพ PH 7.35-7.45 ตอนนี้ถ้าเรากินอาหารที่เป็นกรดเข้าไปเช่นกินพวกที่เป็นกรดรุนแรง พวกที่ปฏิกิริยากรดในร่างกายอย่างรุนแรงมากที่สุดคือน้ำตาล น้ำตาลที่หางห้าตัว  น้ำตาลทราย น้ำตาลผลไม้ น้ำตาลในขนม เมื่อกี้มีคนหนึ่งที่ว่ากินขนมปังผมฟู ไอตัวนั้นนะมันจะมีผงฟู ผงฟูตัวเนี้ย มันจะมีโมเลกุลจะขยายตัวอย่างรุนแรง การแพทย์ทางเลือกเขาบอกว่า รสหวาน มันจะซึมซาบเนื้อ คนไหนที่กินหวานมากๆ มันจะไปโผล่ที่ผิวหมดเลย มันจะไปโผล่ให้หิวหมดเลย ผิวจะมีปัญหา ตรงที่ผิวหมด น้ำตาลทรายเนี่ย พวกน้ำตาลทั้งหมดเนี่ย ที่กินเข้าไปตั้งแต่น้ำตาลทราย น้ำตาลผลไม้ น้ำเชื่อม น้ำเฮลบูบอย ชาเย็น กาแฟ พวกเนี้ยค่ะ คนทางบ้านก็จะไม่รู้ว่า พวกที่หวานเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวเชิงคู่ มันจะทำให้มีภาวะ พอดูดซึมเข้าร่างกายปุ๊บ มันจะไปเร่งที่ตับอ่อน  ให้ผลักอินซูลีนเข้าเซลล์ พอเข้าเซลล์ไม่หมดนะ มันก็จะทำให้เป็นกรด พวกที่เป็นด่างมากเข้าไป ร่างกายต้องบีบกรดออกมาอย่างรุนราย น้ำตาลทรายแค่ครึ่งช้อน หรือ ¼ ช้อนกาแฟ จะทำให้ลำไส้ช๊อค เป็นอัมพาตชั่วคราว ถ้าเรากินเข้าไปบ่อยๆ จะทำให้ท้องผูก ร่างกายทำให้กรดคูตามิกส่งผลให้สมองเฉื่อย ในลำไส้เราจะมีตัวแบคทีเรียที่สร้างสารตัวเนี้ย  สารในสมองเสียไป เพราะฉะนั้นจะขี้ลืมอีกต่างหากนะคะ ทำให้มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะอาหารที่อันตรายสำหรับผิวมากที่สุดก็คือหวานทั้งหมดเลย รวมทั้งพวกอาหารขยาย ตั้งแต่ที่ฟูๆทั้งหมด ขนมปัง ขนมเค้ก มันจะหายยากแล้วคนที่เป็นเบาหวาน น้ำตาล ในเลือดนี่สูงมาก น้ำตาลอยู่ได้แค่ 126 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ถ้าเป็น 400 มันเป็นกรดอย่างรุนแรง ร่างกายก็จะร้องโอดโอย แผลไม่สามารถที่จะหายได้ พอเขาหยุดน้ำตาล ใส่ข้าวกับเกลือ จะมีพลังหดตัว แผลจะเฮลลิ่ง แน่นกระชับ จะรู้ได้เลย ว่านี่ ใช่แล้วค่ะ พูดมากไม่ได้เอาแค่นี้ค่ะ

ผู้วิพากษ์  แพทย์หญิงลักขณา แซ่โซ้ว

เคสที่ได้ฟังไปนะคะ ทั้ง 6 ท่าน อันนี้ในฐานะที่เป็นหมอนะคะ ที่เรียนมาเนี่ย เราเคยรู้แต่ว่า ปัสสาวะเนี่ยเป็นของเสีย เราจะไม่มีข้อมูลด้านที่ว่ามันดีเลยนะคะ แล้วก็พอรู้จักแพทย์วิถีธรรม คือเราก็ได้เห็นเคสแบบเนี้ยค่ะ บ่อยๆทีนี้คือเราก็เริ่มจะมาศึกษา คือเคสมันเป็นเคสจริง นั้นคือเราก็ต้องมาดูแล้วว่ามันมีอะไรนะคะ ปัสสาวะมีอะไร ทำไมถึงมีเคสเหล่านี้ที่หายได้ ซึ่งอย่างเคสสุดท้ายที่ดูไปที่ว่าจะตัดขา อันนั้นคือตอนที่เราเป็นหมออยู่โรงพยาบาลเคสแบบนี้เราก็เจอบ่อย เราเนี่ยแหละไปทำเอง ต้องไปทำแผลในห้องผ่าตัด ต้องดมยาสลบ เพื่อที่จะล้างแผล ล้างก็ขูดออกให้หมดๆ อย่าให้เหลือตรงที่มันจะติดเชื้อนะคะ แล้วก็สิ่งที่เรากลัวมากก็คือ เรื่องติดเชื้อ พอเจอคนไข้ที่มีแผลเนี่ย นั้นยาที่ให้ ก็คือยาที่ช่วยระงับการติดเชื้อ จะเป็นยากินหรือว่ายาฉีด ถ้าแผลใหญ่ๆแบบนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นยาฉีดนะคะ แล้วก็การทำแผลก็จะต้องหาสารอะไรที่มันจะช่วยให้ฟื้นฟูให้แผลกลับมาได้แล้วอย่างกรณีเคสสุดท้ายพอทำแผลเสร็จดูแล้วว่าเนื้อแดงดี ไม่มีเนื้อตายแล้วเนี่ยก็จะต้องเอาไปสกินกราฟก็คือจะต้องไปขูดผิดหนังจากที่อื่น เพื่อที่จะมาโปะ ตรงแผลตรงนั้นที่ใหญ่ๆเพราะว่าผิวเนี่ยเขาจะอยู่โดยที่ไม่มีผิวหนังปิดไม่ได้ เพราะเขาจะสูญเสียน้ำ สูญเสียเกลือแร่อะไรต่างๆ เพราะอันนี้เป็นขั้นตอนที่ทางการแพทย์ทำนะคะ แต่เคสนี้เราก็แปลกใจเหมือนกันที่แผลเขาใหญ่มากแต่เขาไม่ต้องไปทำสกินกราฟ ผิวหนังเขาขึ้นมาเอง เคสสุดท้ายที่ว่าเป็นเบาหวานค่ะ แล้วหลายๆเคส ที่แผลที่เห็น ทั้งเคสเบิร์น ของพี่ป้อม ทั้งหลายๆเคส เป็นที่น่าแปลกใจมากเลย เราต้องมาศึกษาว่าน้ำปัสสาวะมีอะไร คือตัวเองมาอยู่แพทย์วิถีธรรมได้  3 ปีแล้ว คือเราก็ไปศึกษาเหมือนกัน ตัวเราเองก็อยากรู้ ก็ไปศึกษางานของต่างประเทศเนี่ย ก็เลยได้ทราบข้อมูลต่างๆมา นะคะว่าในน้ำปัสสาวะเนี่ย ที่นำเสนอกันที่เห็นกัน ว่ามีส่วนประกอบ น้ำ 95% ยูเรีย 2.5% แล้วที่นำเสนอสื่อต่างๆ ก็จะบอกด้วย ว่ายูเรียเป็นของเสีย แต่พอเรามาศึกษางานวิจัยจากต่างประเทศมันไม่ใช่เลย มันมีประโยชน์ที่มากกว่านั้นมาก เขาก็จะบอกว่า อีก 2.5% คือเป็นสารต่างๆ เราก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร พอมาเห็นเราก็จะอึ้งเลยนะว่า นักวิทยาศาสตร์ มีสารเป็นพันๆตัว ในคำว่า 2.5% แล้วยกตัวอย่างสารที่มีง่ายๆ พอเราได้รู้สารเหล่านี้ เราก็จะอธิบายได้เลยว่า ทำไมแผลเหล่านี้ถึงหาย เลือดเขามาเลี้ยงดีนะคะ เพราะว่า ในน้ำมี อิลิโทไพอติน จากการศึกษาของนายแพทย์ที่อินเดียก็บอกว่า คนไข้ที่ดื่มปัสสาวะ หมอคนนี้เขาให้คนไข้ดื่มปัสสาวะ 200 คน เขาพบว่าคนไข้เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นได้ทุกคน อันนี้ก็เป็นอย่างนึงที่ทำให้แผลหายเร็วเพราะเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น 2 ในเรื่องการระงับปวดจะมี่แพทต้าแกนดิ้น รวมถึงตัวยูเรียเองก็ช่วยลดการเจ็บปวด 3 สารยูเรีย เป็นมอยเจอไรเซอร์ เขามีความชุ่มชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้ง แล้วก็ในเรื่องของแกรนดูแลชั่นการที่จะฟื้นฟูตัวเองของเซลล์ที่จะกลับมากปกติ พบว่ามีฮอร์โมนที่เป็นอนาโบลิกฮอร์โมนเยอะมากเลย พวก สเตียรอยด์ จะช่วยให้แผล ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็วเลย คือไม่แปลกเลยที่เห็นเคสแต่ละเคสแผลฟื้นเร็วกว่าที่เราใช้ในโรงพยาบาลด้วย ต่อมาเรื่องการติดเชื้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่หมอระวังมากกลัวเรื่องการติดเชื้อ เวลาที่มีแผลแบบนี้ ก็พบว่า ทั้งหมอทั้งคนไข้ ทั้งญาติคนไข้ก็จะกลัว กลัวเรื่องการติดเชื้อ ทีนี้พอเรามาศึกษาเนอะว่า ในน้ำปัสสาวะ แต่ละท่านที่เล่ามาเนี่ย ไม่มีเคสไหนเลย ที่ใช้ยาปฏิชีวนะ ทุกๆท่านไม่มีใครใช้เลย เนาะ คือใช้ปัสสาวะ นี้พอเรามาศึกษาก็ได้พบว่า ในทั้งในห้องทดลองแล้วก็ทั้งในโรงพยบาลนะคะ ใช้ทางคลินิค ก็พบว่า สารยูเรีย มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นยาฆ่าเชื้อราด้วย เพราะฉะนั้น ไม่แปลกเลยที่ว่า เราไม่ต้องกลัวติดเชื้อเลย เพราะในน้ำปัสสาวะ เนี่ย มียูเรียอยู่ 2.5 % จริงๆแล้วในห้องแลปเขาใช้ 7% เขาบอกว่า 7% แบคทีเรียจะโตได้น้อยมาก ถ้า 8% จะไม่มีการเติบโตของจุลชีพเลย แต่ในน้ำปัสสาวะมียูเรีย 2.5% แต่ว่าเป็นที่น่าแปลกว่า เคสต่างๆที่ใช้น้ำปัสสาวะ ก็มมีเคสไหนที่ติดเชื้อ ไม่มีเคสไหน ที่เป็นหนอง ที่พูดนี่ตัวเองก็เคยใช้แล้วเหมือนกันค่ะ อันนี้ก็เป็นที่วงการแพทย์ควรให้ความสำคัญแล้วก็หันมาศึกษานะคะ เพราะว่า ด้านผลการรักษา ก็ดีมากๆ ทั้งด้านของค่าใช้จ่าย เศรษฐกิจก็ถือว่าคุ้มค่ามาก ก็อยากจะฝากไว้เท่านี้ก่อนนะคะ ส่วนเรื่องงานวิจัยมีหลายชิ้นมากของต่างประเทศ ในวันหลังๆ ถ้ามีเวลาเล่า จะเอางานวิจัยของต่างประเทศเกี่ยวกับน้ำปัสสาวะมาเล่าให้ฟังนะคะ ซึ่งมีอยู่เยอะแยะมากมายเลย ในหลายแง่หลายมุม

ผู้วิพากษ์  : พยอม ขวัญเชื้อ (พยาบาลชำนาญการ)

กราบคาราวะอาจารย์ค่ะ เจริญธรรมสำนึกดี ใจไร้ทุกข์ทุกท่านค่ะ ค่ะพยอม ขวัญเชื้อ ค่ะ อดีตเป็นพยาบาลอยู่ตึก เคยผ่านตึกยูริเบิน ก็คือตึกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ก็จะพูดประสบการณ์ การที่ได้ดูแล ได้ดูแลคนไข้ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก คนไข้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก นี่ไม่ใช่แต่เฉพาะ ไฟไหม้น้ำร้อนลวกอย่างเดียวนะคะ ก็เป็นประเภทคนไข้ที่โดนไฟฟ้าช๊อต แล้วคนที่โดนน้ำกรดสาดอะไรอย่างงี้นะคะ ซึ่งการรักษาคนไข้ประเภทนี้เป็นความทุกข์ทรมานมากเลยค่ะ ตั้งแต่ต้นจนจบเลย เมื่อเขาโดนแล้วเนี่ย ความทุกข์ทรมานจากบาดแผลนี่ ซึ่งที่ผ่านมาที่คุณหมอคะน้าได้กล่าวมาแล้วนะคะ ว่ามันก็จะมีความรุนแรง ของแผล แล้วก็เปอร์เซนต์ของแผล หมายถึง พื้นที่ในที่เป็นนะคะ แต่ละรายเนี่ย คือทุกข์ทรมานจากการทำแผลนะคะ เพราะว่าเวลาทำแผล แต่ละครั้งเนี่ย ก็ต้องใช้ยาแก้ปวดเป็นต้นว่า มอฟีน แพทตีดีน บางเคสต้องใช้ยา 24 ชั่วโมง แล้วแถม เวลาจะทำแผลเนี่ย ก็ต้องมาฉีดยาเพิ่มเป็นโดสๆ นะคะ แล้วเวลาทำแผลเนี่ยคิดดูนะคะ พื้นที่ แผลแต่ละคนนี่ก็ไม่ใช่น้อยนะคะ อย่างเบิร์น 50% เนี่ย ครึ่งตัวไปแล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ย เวลาทำแผลก็ใช้ แค่เราใช้ น้ำเกลือ แล้วก็ปิดลงไปที่แผล แล้วก็ดึงออก แค่นี้เขาก็เจ็บแล้ว แล้วก็มีเลือดออกด้วย แล้วก็นอกจากแผลบาดแผลนี่แล้ว ก็มันคือแผลมันมีโอกาสที่จะติดเชื้อนะคะ แม้ว่าเราจะเป็นยูนิตปิด ใช้สเตอไลน์ แต่จริงๆแล้ว ควบคุมย่างดี แต่เชื้อโรคมันก็ยังเกิดขึ้นได้ค่ะ ก็จะใช้ยาแอนตี้ เนี่ย เยอะมากค่ะ ก็จะเริ่มจาก ยาที่มีฤทธิ์น้อยๆนะคะ จนมีฤทธิ์เพิ่มขึ้นๆ จนเชื้อดื้อยา ยาการใช้กับคนไข้มีราคาแพงมากนะคะหมอ คือคนไข้ส่วนใหญ่เนี่ย ที่เสียชีวิตนะคะ ก็จะติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะว่าเชื้อมันก็แรงนะคะ แล้วก็คนไข้พวกนี้เนี่ย เวลาเบิร์นมันจะแพ้ คือจะเกิดการติดเชื้อง่ายเพราะว่าภูมิต้านทานก็ต่ำนะคะแล้วก็อิเล็กตรอไลน์ก็คือ เกลือแร่ในร่างกายก็ผิดปกติ อะไรอย่างงี้นะคะ ก็มีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างที่เกิดตามมาแล้วก็อาหารที่ให้คนไข้พวกนี้ก็จะให้อาหารทางสายยาง ก็คือเส้นเลือดนะคะ ก็ราคาแพงเหมือนกันค่ะ แล้วมีความพิกรพิการเกิดขึ้นอีกหลังจากนั้นนะคะเพราะว่ารักษานี่บางเคสนี่นะคะ เดือนหรือไม่ก็เป็นปีนะคะ ในบางเคส ที่ได้ดูแลมานะคะ เพราะมันไม่จบไม่สิ้นนะค่ะ เพราะว่าเวลาคนไข้เซพติด เราก็รักษาไปเนี่ย มันก็จะเกิดพิการ มันจะดึงล้างพวกแผลที่หายแล้วหนะ สกานะหมอ มันก็ต้องไปแก้ไขตรงนั้นแล้วอีกอย่างนึงแผลพวกนี้ พื้นที่มากใช่ไหมคะ เราก็จะใช้หมอก็จะใช้วิธีวางผิวหนัง ปลูกหนังนะคะ ปิดคลุม เพราะว่าไม่งั้น ระยะ รักษา การใช้เวลาในการรักษา เนี่ยนานนะคะ ก็ทำสกินกราฟนะคะ ก็มันก็จะวนไปวนมา ค่าใช้จ่ายก็สูงนะคะ แล้วก็นอกจากนั้นเนี่ย คนไข้ที่ ต้องทุกข์ทรมานจาการที่ทำแผล แล้วก็ต้องมาพิกลพิการ จากการที่พอแผลหายแล้วเนี่ย ก็ต้อง คนไข้บางคนถึงกับเป็นโรคซึมเศร้านะคะ ต้องส่งต่อให้จิตเวช ก็คิดว่าการที่ พอมาฟังได้ฟังเคสที่เล่ามาแล้วก็จากการที่เราได้ติดตามผลงานการวิจัยต่างๆ ก็ได้เห็นคุณค่า แล้วก็คุณประโยชน์ของน้ำปัสสาวะ เพราะว่าทำแผลจริงๆแล้วเนี่ย ถ้าใช้น้ำปัสสาวะทำเนี่ย คือมันง่าย มันช่วยในการให้แผลหายเร็วขึ้นจากที่ว่า มีโกรทฮอร์โมนอยู่ในนั้นนะคะ แล้วก็ แกนดิ้น ลดการอักเสบ แล้วก็ช่วยในเรื่องปวดเนี่ยค่ะ แล้วก็ยูเรียนะแอนตี้ แบคทีเรีย แอนตี้ อะไรพวกเนี้ย มันก็เป็นแอนตี้ไบโอติกไปได้เลย ซึ่งถ้าเรามาแอฟพลาย เอาน้ำปัสสาวะ มาใช้ในคนไข้ประเภทนี้ มันก็จะลด ประหยัดค่าใช้จ่ายไปมากเลย แล้วก็คนไข้ก็ไม่ทุกข์ทรมาน กับการที่ต้องมาทำแผล แบบเช้าเย็นแล้วโอ พื้นที่แผลก็เยอะแล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลนานๆค่ะ ในการที่จะต้องมาแก้ไข ความพิการเพราะว่าจาก ที่เห็นเคสของน้องป้อมนะคะ เนี่ย คือ แค่ใช้น้ำปัสสาวะ ก็คือหายขึ้นมาได้ โดยที่ไม่มีกลับมาเป็นปกติได้อย่างง่ายดายเนี่ย คือมันคิดว่า มันวิเศษจริงๆ ถ้าเอาไปใข้ในเคสคนไข้คะ ก็มีคุณพ่อค่ะเป็นเบาหวาน มีแผลพุพองเนี้ยค่ะ แล้วเราคิดว่าโอ๊ ถ้าเอาน้ำปัสสาวะ มาแช่นน้ำของพ่อนี่ใช้น้ำปัสสาวะที่หมักไว้ หลายๆเดือนนะคะ เอามาแล้วก็มาแช่แผล โดยที่เราไม่ต้องทำแผลนะ แช่อย่างเดียวเนี่ย เพราะว่าแผล เหมือนกับแผลเบิรนเนี่ย แค่เราดึงก๊อตขึ้นมา เขาก็ปวดแล้ว ถ้าเราเอาคนไข้ ลงไปนอนแช่ อย่างนั้น อุ๊ย มันน่าจะดี หึๆเพราะว่า น้ำปัสสาวะ มันเป็นด่างแล้วมันเย็นด้วยนะคะ มันลดอาการปวดได้ด้วย แล้วลดการอักเสบ อะไรได้ด้วย ซึ่งทางการแพทย์เนี่ยคะ น่าจะพิจารณานะคะ ลองเปิดใจดูค่ะ น้ำปัสสาวะ เนี่ยวิเศษจริงๆนะคะ เป็นยาวิเศษที่พระพุทธเจ้าประธานมาให้มวลมนุษยชาติค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

ผู้วิพากษ์  : ขวัญไพรเย็น (พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ด้านผิวหนัง)

กราบคาราวะอาจารย์ค่ะ เจริญธรรมพี่น้องทุกท่านค่ะ ชื่อ ขวัญไพรเย็นนะคะ ก็เป็นพยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการด้านสกินนะคะ เท่าที่ดูเนี่ย พี่น้องเห็นความต่างของการรักษาของถ้าเทียบเหมือนโรงพยาบาลเลยนะ ความต่างของโรงพยาบาลคือทุกอย่างปราศจากเชื้อไม่ว่าอุปกรณ์ทำแผล แล้วได้รับยาแอนตี้ไบโอติก อย่างเซลูไลติ อย่างของพี่เติ้ล หรือว่าเป็นเหมือนไฟลามทุ่งของอาอีกคนเนี่ยค่ะ ถ้าไปก็ต้องแอดมิดแล้วได้แอนตี้ไบโอติก แล้วกระบวนการทำแผลก็จะใช้พวก นอมอลซาไลน์ ซึ่งก็เป็นน้ำเกลือเหมือนกัน ซึ่งเป็นด่างเหมือนกัน แต่ความต่างของโรงพยาบาลจะมีระบบป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ แต่ก็ติดเชื้อ แต่ของเราดูลักษณะการทำแผลนะคะ ไม่ได้นึ่ง ไม่อะไรเลย นะ สถานที่ทำแผลบ้านๆมากเลย นะคะ แต่ความต่างตรงที่ไม่กลัวไง อย่างหมอคะน้าพูด หมอกลัว หมอกลัวการติดเชื้อ พอหมอกลัวเสร็จ คนไข้ขนาดหมอยังกลัว แล้วคนไข้จะเหลือมั๊ย เออ มาลาวที่ไรก็บอกกลัวติดเชื้อในกระแสเลือด หมอกลัว พยาบาลก็กลัว คนไข้ก็กลัวๆนั่นคือการผิดศีลทุกวัน พอผิดศีลปุ๊บ ใช้น้ำเกลือเหมือนกัน ใช้ล้างแผลเหมือนกันแล้วปราศจากเชื้อด้วย ดังนั้นอัตราการหายเนี่ย จึงต่างจากพวกเรา พวกเราเนี่ย ความกลัวลดลง แต่มีความแกร่งเพิ่มขึ้นเพราะได้ปฏิบัติศีลเพิ่มขึ้นเพราะได้สัมมาทิฐิจากอาจารย์ดังนั้นใช้สถานที่ทำแผลอย่างไรใช้ปัสสาวะด้วย นะคะ แล้วอาอีกคนเนี่ย ยังไม่ได้ปฏิบัติเข้มข้นเหมือนพวกเราด้วย แต่ยังปฏิบัติ ใช้น้ำปัสสาวะยังได้ผล เพราะคนข้างๆเนี่ย มั่นคง เห็นไหมคะ คนข้างๆปฏิบัติแล้วมั่นคงด้วย ในการใช้อริยศีลรักษาโรค มาช้อนกับ ปัสสาวะ ซึ่งมีธาตุ และสารอาหารที่มีนักวิชาการบอกว่า มันน้อยมาก แต่มันน้อยมาก เขาไม่รู้ว่ามันมีประสิทธิภาพมากตรงที่มันมีอริยศีล ช้อนเข้ามาในวัตถุนั้น มันก็เลยทำให้ปัสสาวะมีประสิทธิภาพสูง พอเราไม่กลัว ร่างกาย เราไม่ได้ทุกข์กับสิ่งที่เป็น เราไม่ได้ทุกข์ว่าเราเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งเนี่ย ร่างกายมันก็หลั่งสารเอนโดฟินออกมา สารเอนโดฟินมีประสิทธิภาพมากกว่า 200 เท่าในการฟื้นฟูทุกอย่างแล้วทำให้ร่างกายพักหลับได้ดีด้วย เห็นไหมคะตามหลักวิทยาศาสตร์ ดังนั้นพอล้างความกลัว กังวล ความหวั่นไหว แล้วเข้าใจเรื่องกรรมอย่างชัดแจ้งเนี่ย มาบวกกับประสิทธิภาพของน้ำปัสสาวะที่คุณหมอคะน้าพูดเมื่อกี้ค่ะ ดังนั้นประสิทธิภาพจึงเกินร้อยเลย ต่อให้สถานที่การทำแผลอย่างไร ไม่ต้องสเตอไรด์อะไรเงี๊ย แต่เทคนิคมันเป็นเทคนิคพุทธ ที่มันเหนือกว่า แล้วประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย นี่เห็นไหมคะ ดังนั้นพี่น้องทางบ้านหรือพี่น้องทางนี้นะคะ ถ้าเราไม่กลัว ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้ นะคะ ต่อให้เราป่วยแค่ไหนคือร่าง แต่ใจเราไร้ทุกข์เป็นลำดับๆ ขวัญว่า เนี่ย คือจุดต่างของแผนปัจจุบัน กับของเรา นะคะ ของเรานี่จะช้อนจิตวิญญาณไว้ก่อน ส่วนวัตถุเราไม่ทิ้ง วัตถุเราให้ตั้ง 30%  นะคะ แต่ต่างกับตรงนั้น ตรงนั้นช้อนแต่วัตถุ เพ่งแต่วัตถุ ไปเพ่งแต่กาย แต่จิตวิญญาณที่กลัวเนี่ย ไม่ได้ล้างเลย ตั้งแต่ผู้รักษา ผู้ป่วย กลัวทุกวัน เหนี่ยวนำให้กันกลัวทุกวันๆ ร่างกายก็หลั่งอะดีนาลีน และคอติซอล ออกมาทุกวันๆ ต่อให้ใช้น้ำด่างเหมือนกัน ต่อให้ปราศจากเชื้อเหมือนกัน แต่ความต่างมันคนละเรื่องเลย นะคะ เนี่ยมันคนเรื่องเลย ดังนั้นเนี่ย ให้พี่น้องถ้ามีปัญหาสุขภาพเนี่ยไม่ต้องกลัวค่ะ แต่ในความต่างนั้นเนี่ย พวกเรามีหมู่มิตรดีนะ แต่ข้างนอกเนี่ย มันมีแต่ความกลัวเต็มข้างนอกเลย มันจึงมีความต่างมาก นะคะ ภูมิคุ้มกันก็ต่ำลงๆทุกวัน เพราะกลัวทุกวันๆแต่ข้างในเนี่ย แกร่งขึ้นทุกวันๆ ระบบภูมิคุ้มกันก็แกร่งขึ้นทุกวันๆ แล้วปัสสาวะก็ประสิทธิภาพสูง มาบวกกับสิ่งที่เราปฏิบัติ ประสิทธิภาพของอาจารย์แต่ละท่านเนี่ย จึงรักษาเนี่ย ขวัญก็อึ้งเหมือนกัน อย่าง ซาซูเรติก ใช้ไว้ลาไม่กี่วันแล้วบวม แล้วเวลาดูภาพเห็นไหมคะ ถ้าผู้ป่วยเนี่ย ยิ้มนะ ภาพอาเติ้ลเนี่ย ปวดแล้วหนองฉะขนาดนั้นแล้วอาเติ้ลยิ้มเห็นไหมคะ ความต่าง ความต่างของผู้ป่วยที่ป่วยหนักขนาดนี้เนี่ยแต่ยิ้ม อย่างของพี่มันนี่ก็ยิ้มแถมไปดูคนไม่ป่วยอีก เห็นไหมคะ มันเป็นความต่างที่ว่า ตัวเองป่วยแต่ร่างไง แต่ใจมันไม่ได้ป่วย เนี่ยมัน มันเป็นอะไรที่มหัศจรรรย์ ที่ฟื้นได้เร็วจริงๆนะคะ โดยที่ใช้ยาแอนตี้ไบโอติก ที่เราสร้างขึ้นมาเองนะคะในการรักษาตัวเองนะคะ บวกกับธรรมะเนี่ย ประสิทธิภาพจึงสูงแล้วก็ประหยัดที่สุดในโลกเลยค่ะ

หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน

อาจารย์จะเสริมประเด็นเหล่านี้เนาะ ประเด็นแรกเนี่ยถ้าเราจะเห็นว่าผู้ที่ดีขึ้นนี่มีศรัทธา มีปัญญา มีใจไร้ทุกข์ ใจไร้ทุกข์ เนี่ย ทุกอย่างดีที่สุด ใจไร้ทุกข์ ทุกอย่างดีที่สุด คือที่ดีที่สุดนี่ จะดีได้เท่าไหร่ก็ตามนะ ดีมากดีน้อย หรือติดลบ ก็ตามแต่ทุกอย่าง ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ใจไร้ทุกข์ ทุกอย่างจะดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ คำว่าอันตรายแปลว่า ปัญหาเพิ่ม ปลอดภัย คือ ปัญหาลด อันตรายคือปัญหาเพิ่ม ปลอดภัย คือปัญหาลด ไม่ใช่อันตรายคือ ใครพูดว่าอันตราย และไม่ใช่ปลอดภัย ใครพูดว่าปลอดภัย ไม่ใช่ มันไม่ใช่คำพูดของคน มันไม่ใช่ความเห็นของคนที่คาดการณ์เอา โดยการใช้ข้อมูลใดๆก็ตาม ใช้วิชาการใดๆ ใช้ข้อมูลใดๆก็ตาม คาดการณ์เอาโดยที่สิ่งนั้น ยังไม่ใช่จริง จากการปฏิบัติจริง ถ้าเมื่อใดมีการปฏิบัติจริง ใช้สิ่งใดจริง ทำสิ่งใดจริงแล้ว เกิดอันตราย เกิดปัญหาเพิ่ม พอปัญหานี้เกิดมากขึ้นๆสิ่งนั้นเรียกว่า อันตราย แต่ถ้าสิ่งใดปฏิบัติลงไปแล้ว ปัญหาส่วนใหญ่ลดลงๆสิ่งนั้นเรียกว่า ปลอดภัย สิ่งนั้นเรียกว่า ประโยชน์ แต่สิ่งใดทำแล้วเพิ่มปัญหามากขึ้นๆ สิ่งนั้นเรียกว่า อันตราย สิ่งนั้นเรียกว่าโทษ สิ่งเหล่านั้นจะต้องเกิดขึ้นกับ การเก็บข้อมูลจริง จากผู้ปฏิบัติจริง ไม่ใช่เดาเอา เดาเอาอาจจะถูกก็ได้ อาจจะไม่ถูกก็ได้ อาจจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ ใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ เราก็อย่าพึ่งรับว่าใช่ อย่าพึ่งปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่เราต้องเก็บข้อมูลจากความจริงของผู้ปฏิบัติจริงในสิ่งนั้นว่าเป็นอย่างไรเพราะบางครั้งสิ่งที่คาดการณ์ก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามนั้นก็ได้ คนคาดการณ์ว่าพิษหรือว่าเชื้อโรค อ่อนๆ พิษหรือว่าเชื้อโรค จะก่อโรคได้ ปรากฏว่า วงการแพย์พบว่าพิษหรือว่าเชื้อโรคอ่อนๆ กลับกลายเป็นวัคซีน อย่างงี้เป็นต้น บางทีพิษก็ไม่ได้เป็นพิษเสมอไป พิษยังมีรายละเอียดของพิษว่า พิษแบบเข้มข้นหรือพิษแบบอ่อนๆ อย่างงี้เป็นต้น พิษยังมีรายละเอียดของพิษ ว่าเป็นอย่างไร เป็นต้น บางทีสิ่งที่เราคาดการณ์ก็อาจจะไม่สิ่งที่เราคาดการณ์ก็ได้ อาจจะตรงข้ามกับสิ่งที่เราคาดการณ์ก็ได้ บางคนหน้าตาดี แต่งตัวดี นึกว่าเป็นคนดีที่ไหนได้เป็นโจรก็ได้ หรือจะเป็นคนดีจริงๆก็ได้ อาจจะเป็นโจรก็ได้

สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เห็นก็ได้ บางคนหน้าตาแต่งตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ค่อยเท่เหมือนคนทั่วไปเท่าไหร่ ดูเหมือนคนไม่ดี ดูเหมือนคนโง่ เหมือนคนไม่ดี เค้าอาจจะเป็นคนดีก็ได้ อาจเป็นคนฉลาดก็ได้ หรืออาจเป็นคนไม่ดี หรืออาจเป็นคนโง่ ตามที่คาดการณ์ก็ได้ หลายสิ่งหลายอย่าง เรายังคาดการณ์ 100 เปอร์เซนต์ มันยังไม่ได้หรอก หรือบางอย่างมีข้อมูลยืนยันชัดว่าเสียหายนะ ทำแบบนี้เสียหาย ต้องไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ถึงวันนึง เปลี่ยนก็ได้นะ ถืงวันนึงเกิดการเปลี่ยนขึ้น เช่น มีอยู่ คราวหนึ่ง กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า น้ำนมแม่เนี่ย ไม่ดี น้ำนมแม่ไม่ดี ดูเหมือนไม่ดีเลย น้ำนมแม่ที่ติดอยู่ในลิ้นลูก น้ำนมแม่ที่ติดอยู๋ในลิ้นอยู่ในปากลูก ดูลักษณะแล้วสกปรก กระทรวงสาธารณสุขบอกไม่ดี สกปรก จะมีเชื้อโรคขยาย มันสกปรก มันไม่ดี มันจะมีเชื้อโรคขยาย เพราะฉะนั้นเวลากินนมแม่เข้าไปแล้วจะต้องให้ดื่มน้ำตาม ให้เด็กดูดน้ำจากขวด จากวิธีใดก็แล้วแต่ ให้ล้างคราบน้ำนมให้หมด เชื้อโรคจะได้ไม่ขยายตัว เชื้อโรคจะได้ไม่ไปกินน้ำนมนั้นแล้วมันจะได้ไม่ขยายตัว จะได้ไม่ทำร้ายลูก นี่คือข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ให้ประชาชนทำมาหลายปี ยืนยันเลย ยืนยันเลยว่า น้ำนมแม่ ที่ติดอยู่ในปากอยู่ในลิ้นลูกมันไม่ดี มันจะก่อโรค อาจจะก่อโรค เสี่ยงต่อการเป็นอาหารของแบคทีเรีย นี่คือการคิดเอา แล้วก็เป็นนโยบายให้ทำ อยู่หลายปี ช่วงหลังจนถึงปัจจุบันตอนอาจารย์รับราชการอยู่ บอกว่า น้ำนมแม่เนี่ยแหละ มีภูมิต้านทานอย่างดีเลย อาหารก็ครบ ภูมิต้านทานก็ดี อย่าไปล้างออก กินไปแล้วห้ามกินน้ำไปล้างเด็ดขาด เห็นไหม ความรู้มันพัฒนาขึ้น ความรู้พัฒนาขึ้น อย่าไปล้างเด็ดขาด ให้มันติดอยู่ในนั้นแหละ เด็กกินไปก็มีน้ำนมแม่ อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปล้างเพราะมีความต้านทาน เชื้อโรคไม่สามารถขยายได้ และเป็นตัวที่ต้านเชื้อโรคด้วย นี่เป็นความรู้ใหม่ ก็รนรงค์ให้ทำช่วงจากอาจารย์ก็เปลี่ยนผ่านจาก ตอนรับราชการอาจารย์เจอทั้งสองอัน ทั้งให้กินน้ำล้าง เขาก็รนรงค์ เราเป็นข้าราชการสุขภาพ ก็ต้องไปรณรงค์ให้กินน้ำ ให้กินน้ำ ล้างน้ำนม ที่กลัวว่ามันจะหมักหมมเชื้อโรค เสร็จแล้วซักระยะหนึ่งก็หลายปีอยู่เหมือนกัน ก็บอกว่า เอ้า ห้ามล้าง ให้กินสี่เดือนเลย ว่างั้นนะ นมแม่ให้กินสี่เดือนเลย ห้ามกินอย่างอื่น กินนมแม่อย่างเดียว ไม่ต้องกินน้ำ พอเลย ทุกอย่างพอ น้ำ อาหาร ทุกอย่างพอหมด ไม่ต้องกินนมแม่เลย สี่เดือน จะดีที่สุด ช่วงหลัง มาวิจัยใหม่อีก บอก 6 เดือน ว่างั้น ไม่ใช่ 4 เดือนแล้ว เพิ่มอีก ช่วงอาจารย์รับราชการอยู่ 4 เดือน ออกมาใหม่อีก บอกว่า ไม่ต้องกินอย่างอื่นเลย กินนมแม่อย่างเดียวเลย 6 เดือน

เห็นไหมหล่ะ องค์ความรู้ต่างๆ บางทีเราคาดการณ์ว่า บางสิ่งบางอย่างมันจะเป็นโทษเป็นภัย แต่เอาเข้าจริงๆ มันเป็นประโยชน์ก็มีนะ นมแม่ที่ติด อยู่ในลิ้นอยู่ในปากลูก การแพทย์คาดการณ์ว่าเป็นโทษเป็นภัยแล้วก็ออกข่าวออกไปทั่วประเทศเลย สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข ให้นักสุขภาพทั้งหลาย เจ้าหน้าที่สุขภาพ บอกประชาชน เผยแพร่ให้ประชาชน ล้างนมแม่ออกจากปาก ให้กลืนน้ำเข้าไป อย่าให้มันเหลือในช่องปาก แต่ช่วงหลังมาพบว่าน้ำนมแม่มีภูมิต้านทาน บอกไม่ต้องล้าง เห็นไหมหละ ทุกอย่างมันไม่เที่ยง บางทีสิ่งที่เห็นสิ่งที่คาดการณ์ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่ตรงข้ามกับสิ่งที่เห็น ก็มี เราเห็นเราคาดการณ์ว่าน้ำนมแม่น่าจะหมักเชื้อโรคได้ เพราะโดยหลักวิทยาศาสตร์เนี่ย อาหารเชื้อโรคกินอาหารใช่ไหม น้ำนมแม่ก็เป็นสารอาหารใช่ไหม หลักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ก็คาดการณ์เอาเลยว่า ตายแน่ๆแหละ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรคขยายแน่ นี่คือการคาดการณ์เห็นไหมนี่คือการผิดพลาดของการคาดการณ์โดยที่ไม่ได้ลงมือทำเลยนะ ไม่ใช่งานวิจัยหรอกเป็นการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ เพราะวิจัยผลมันจะไม่ใช่อย่างงั้น แต่พอลงมือวิจัยเข้าจริงๆ คนละเรื่องเลย กลับหัวเลยทีนี้ กลับหัวเลย ไปคนละด้านเลย …….(จอดับ)……..สิ่งที่เราคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นภัย แต่ก็ไม่ได้เป็นภัยก็ได้ หรือคนที่คาดการณ์ว่าความจน จะเป็นภัย ความจนจะเป็นภัย คือคาดการณ์เอานะ แต่จิตอาสาเนี่ย แต่ก่อนมีเงินมีทองพอสมควร ก่อนมาเป็นจิตอาสาหลายท่านเลยเนี่ย หาเงินหาทองมากมาย ปรากฏว่าชีวิตหาความสุขไม่ได้ โดยสายตาคาดการณ์ว่า

ถ้ามีเงินมาก จะมีความสุข จะมีความมั่นคงมาก เอาเข้าจริงๆ มีเงินมาก ก็ไม่ได้มีความสุขมาก ไม่ได้มีความมั่นคงมาก ชีวิตยังมีทุกข์ใจกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ……..มีเหตุการณ์ร้ายเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ใจต้องเป็นทุกข์อยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่ ยังแก้ไม่ได้ แต่พอมาจนแบบพุทธะ ไม่ได้จนแบบสิ้นไร้ไม้ตอกนะ อันนั้นก็จนแบบสิ้นไร้ไม้ตรอก จนแบบไม่มีปัญญา ก็ทุกข์อีกแบบนึง รวยนะ ไม่มีปัญญาอยู่แล้ว โง่อยู่แล้ว รวยนะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญญาอยู่แล้ว ถ้าการรวยเนี่ย ทำให้พ้นทุกข์ได้ ป่านนี้ในโลก คนรวยก็พ้นทุกข์ไปหมดแล้ว ไปหาดูสิ คนรวยคนไหนพ้นทุกข์บ้าง ไม่เห็นพ้นทุกข์สักคน คนรวยคนไหนไม่มีปัญหาบ้าง จนแบบสิ้นไร้ไม้ตอกก็ใช้ไม่ได้ จนแบบไม่มันปัญญา ไม่มีความดี ไม่มีธรรมะ มันก็ใช้ไม่ได้ แต่คนไม่รู้ว่ามีนะ จนอีกแบบ จนแบบพุทธะ จนแบบพระพุทธเจ้าหนะ พระพุทธเจ้าเนี่ยสละราชบัลลังค์ ออกบวชเลย และก็พบทางพ้นทุกข์แล้วก็สอนคนให้พ้นทุกข์ ไม่มีเงินไม่มีทองส่วนตัวเลย ทำงานฟรีช่วยเหลือผู้อื่นฟรี และมีพระปัญญาธิคุณ มีปัญญาที่จะดำรงชีวิต ด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย ให้แข็งแรงได้ ให้ผาสุกได้ แล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นให้ผาสุกได้ เป็นคนจนที่เลี้ยงชีพด้วยความดี เลี้ยงชีพด้วยใจไร้ทุกข์เลี้ยงชีพด้วยความพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยความดี กลายเป็นจนที่ มีอยู่มีกินตลอดชีวิต แล้วก็ทำงาน มีคุณค่าต่อผู้อื่น อย่างงี้เป็นต้น ดูเหมือนจะหมดอนาคต คนจนเนี่ยดูเหมือนจะหมดอนาคต แต่มีคนจน คนประเภทนึง ที่ไม่หมดอนาคตเลย คือคนจนมหัศจรรย์ คนจนวรรณะ 9 คนจนที่จนแบบวรรณะ 9 คนจนแบบพุทธะ แบบวรรณะ9 เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ศุภระ เลี้ยงง่าย สุโปสะ บำรุงง่าย อัปิฉฉะ มักน้อยกล้าจน สันตุถิ สันโดษใจพอ สันเลขะ ขัดเกลา สิ่งที่เป็นโทษเป็นภัย ขัดเกลากิเลสออกไปจากชีวิต ทูตะ ปฏิบัติศีล ละบาป บำเพ็ญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส เคร่งศีล ปฏิบัติศีลจนลงตัว กำจัดกิเลสได้ ก็ปฏิบัติศีลเคร่งอย่างสบาย เป็นผู้ที่ละบาป บำเพ็ญ กุศล ทำจิตใจให้ผ่องใสได้อย่างสบาย ตัวเองนั้นไร้ทุกข์แล้วยังช่วยให้ผู้อื่นไร้ทุกข์ได้ด้วย นี้คือทูตะ กำจัดกิเลส จนสามารถปฏิบัติศีลเคร่งได้อย่างสบาย กินข้าววันละมื้อสองมื้อก็สบาย อย่างงี้เป็นต้น ไม่ต้องมีเงินมีทองก็สบาย มีเงินมีทองน้อยก็สบาย มีที่พักน้อยก็สบาย ทุกอย่างศีลที่ปฏิบัตินั้น เป็นการปฏิบัติที่ไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น ได้อย่างสบาย ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นอย่างสบาย ไม่ใช่ ผู้ที่ทุกข์ทรมาน นี้คือทูตะ กำจัดกิเลส มีศีลเคร่ง ศีลก็การละบาป บำเพ็ญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส ปาสาธิกะ มีอาการน่าเลื่อมใส ก็มีอาการน่าเลื่อมใส เพราะทำความดีนั้นต่อเนื่องมั่นคง ยั่งยืน อัปจจยะ ไม่สะสม ไม่ได้เป็นคนสะสมอะไรมากมาย ก็ไม่สะสม ไม่สะสมสิ่งที่เกินความจำเป็นของชีวิต สิ่งที่เป็นโทษเป็นภัย แต่อาศัยเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น เพียงเล็กน้อยเท่าที่จำเป็นก็เหลือเฟือ เพราะมีความดีคุ้มครองชีวิต วิริยาลำพะ ปรารพความเพียรยอดขยัน มีความขยันในการเกื้อกูลมวลมนุษยชาติ เพื่อให้อยู่ดีมีสุข นี่คือวรรณะ 9 คนจนแบบพุทธะ คนจนมหัศจรรย์ แบ่งปันตลอดกาล ดูเหมือนเขาจะสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เขาไม่สิ้นนะ เขาไม่สิ้นความดี เขาไม่สิ้นมิตรดี มีความดีมีมิตรดี มีความขยัน มีการแบ่งปัน มีการอยู่อย่างพอเพียง เป็นเครื่องดำรงชีวิต มีบุญกุศลคอยช่วยทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป เพราะฉะนั้นเป็นคนจนที่ลึกซึ้ง อย่างงี้เป็นต้น ยกตัวอย่างคนจน ยกตัวอย่างคนจน ที่ผาสุกที่สุดในโลก อยู่อย่างพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยความดี ชีวิตที่มั่นคงมีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก อย่างงี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนจะแย่นะ แต่ก็ไม่แย่นะ เหมือนจะแย่ แต่ก็ไม่แย่ กลายเป็นดีกว่า ดีกว่าปกติทั่วไปด้วย อย่างงี้เป็นต้น

เนี่ยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ หรือบางอย่างบอกว่า คนบอกว่าแย่ อีกตั้งหลายเรื่องหลายราวแต่แท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ดี เยอะแยะมากมาย คนนึกว่าแย่ เอาง่ายๆ ขยะเนี่ยเขานึกว่าแย่นะ สมัยก่อนขยะไม่มีใครอยากไปยุ่งนะ ขยะๆ ไม่มีใครอยากยุ่ง แย่ๆ ขยะ ต้องเอาไปทิ้งอย่างเดียว สกปรกๆ เชื่อไหม ทุกวันนี้มีเศรษฐีหลายร้อยล้าน ได้เป็นเศรษฐีเพราะขยะ ได้เป็นเศรษฐีเพราะขยะนะ ทำโรงงานแยกขยะเลย แยกขยะสกปรกๆ ที่เขาว่าสกปรกนี่แหละ จนสุดท้ายเป็นเศรษฐีหลายร้อยล้านอยู่ในประเทศไทยนี้ เพราะสิ่งสกปรก เพราะแยกขยะ อย่างงี้เป็นต้น บางทีสิ่งที่คนอื่นคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่ผู้ที่มีปัญญาก็เอามาใช้ประโยชน์ได้นะ เราอย่าพึ่งคิดว่า สิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าไม่เป็นประโยชน์แล้วสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์ คนมีปัญญาจะเอาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์มาทำประโยชน์ได้ ส่วนคน
ไม่มีปัญญานั้น เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปทำโทษได้ ไม่ต้องพูดถึงเลยสิ่งที่เป็นโทษ ก็ยิ่งเอาไปทำโทษไปใหญ่ อย่างงี้เป็นต้น บางสิ่งบางอย่าง ก็เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ว่า จะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ แต่บางสิ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่เราคาดการณ์ส่าจะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ อย่างเรื่องปัสสาวะนี่ก็เหมือนกัน คนทั่วไป แม้แต่วงการสุขภาพทั่วไป ก็คาดการณ์ว่า เป็นของเสีย เป็นของสกปรก เป็นโรค เป็นภัย เป็นอันตราย คาดการณ์กันทั้งนั้นแล้วก็ใช้ข้อมูลคาดการณ์นี้ สื่อสารกับ ประชาชน สื่อสารกับ เจ้าหน้าที่สุขภาพ สื่อสารกับประชาชน มาตลอดโดยที่ คนไม่ได้ฉุกคิด คนไม่ได้ฉงน ว่า สิ่งที่พูดนั้น ไม่มีงานวิจัยรองรับเลย ไม่มีงานวิจัยรองรับเลย มีแต่ความคิดเห็นเท่านั้น ว่า อันตราย สกปรก ก่อโรค ก่อภัย น่ารังเกียจ มีแต่ความคิดเห็นเท่านั้น แล้วคนทั่วไป ก็ไม่ได้ใช้หลัก กาลามสูตร ได้ฟังคนที่น่าเชื่อถือพูด ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าพึ่งเชื่อ ก็เชื่อตามกันๆโดยที่ไม่ได้ ไม่ได้พิสูจน์ความจริงเลย ไม่ได้ถามหางานวิจัยเลย แล้วงานวิจัยนั้น แล้วความจริงเป็นอย่างงั้นหรือป่าว คนทั่วไปก็ไม่ได้ ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ คนในโลกทั่วไปไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เป็นนักฟังคนอื่นศาสตร์ เป็นนักฟังคนอื่นศาสตร์ คือคนอี่นเขาว่าอะไร ถ้าน่าเชื่อถือ ฉันก็เอาเลย โดยที่ไม่ได้ทดลองหรอก เป็นคนน่าเชื่อถือ ฉันเอาเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเชื่อ แม้เขาน่าเชื่อถือ อย่าเชื่อแม้เขาเป็นครูของเรา อย่าเชื่อแม้ตำรา อย่าเชื่อคำรำลือ ข่าวลือกันมา แล้วเราก็บอกว่าเราเป็นชาวพุทธ แต่เราก็ พุทธทะเบียนบ้าน เราก็ไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้า ท่านบอกอย่าพึ่งเชื่ออย่าพึ่งรับ อย่าพึ่งปฏิเสธ เก็บความจริงก่อน เก็บข้อมูลความจริงก่อนว่าเป็นยังไง มีงานวิจัยไหม แล้วก็มีงานวิจัยก็อย่าพึ่งเชื่อนะ อย่าพึ่งเชื่อ อาจารย์ยังไม่เชื่องานวิจัยง่ายๆนะ ใครเอางานวิจัยมาอ้าง อาจารย์ แหม อาจารย์ไม่เชื่อง่ายๆนะ เอางานวิจัยมาอ้าง ถ้าคุณบอก ต้องเชื่องานวิจัยนี่แหม อาจารย์เกือบจะพูดคำนึง ไม่ดี อยู่ในใจ ไม่ออกมาดีกว่า นะ ปรุงอยู่ข้างในแล้ว ปล่อยออกมาไม่ดี ต้องพิสูจน์ก่อนว่างานวิจัยนั้นจริงหรือเปล่า นะ หึ ๆ บอกก็ได้นะ อาจารย์ปรุงคำว่าอะไร แต่มันไม่ค่อยเพราะหน่อยนะ ทำใจหน่อยนะ ทำใจหน่อย อาจารย์บอก ตบกบาลเลย มาอ้างงานวิจารย์ จะตบกบาลนะ ภาษานะ แต่ทำจริง ไม่ทำ ไม่เอามือไปตบนะ บาป ไม่ได้ ภาษา ตบกบาล ภาษาหมายความว่า ให้สะดุด ว่าคุณอย่างงงาย งานวิจัย คุณอย่างมงายงานวิจัย งานวิจัยหลายเรื่องใช้การไม่ได้เยอะแยะไม่ได้ หรือใช้ได้ช่วงนึง อีกช่วงใช้ไม่ได้ แต่อย่าไปงงงายงานวิจัย แต่ไม่ได้ปฏิเสธงานวิจัย อาจารย์ไม่ได้งมงายงานวิจัย แต่อย่าปฏิเสธงานวิจัย ฟังไว้ก่อน ถ้ามีงานวิจัยใดเข้ามา ใครรีบเชื่อปุ๊บ ถูกคัดศพออกจากทะเลเลยนะ พระพุทธเจ้าบอก ท่านจะคัดศพออกจากทะเล คือคัดคนโง่ ออกจากพุทธะ คัดคนมีปัญญาเข้าสู่พุทธะ เราอย่าพึ่งรับงานวิจัย เราอย่าพึ่งปฏิเสธงานวิจัย มีข้อมูลมาเรารับฟังก่อน แล้วดูความจริงว่า งานวิจัยนั้นเป็นจริงไหม ก็เก็บข้อมูลต่อ นี่ลูกหลานพระพุทธเจ้าต้องเป็นเช่นนี้ มีตำรา มีงานวิจัยใดๆมา อย่าพึ่งเชื่อ อาจารย์ใช้ภาษาแรงๆ เพื่อที่จะให้สะดุด เจตนาให้สะดุด ไม่งั้นก็จะไม่สะดุด โง่ เชื่องานวิจัยอยู่นั้น โดยไม่พิสูจน์ เป็นคนโง่นะ คนเชื่องานวิจัย โดยไม่พิสูจน์งานวิจัยนั้น คือคนโง่ นี่คือสัจจะ ใครเชื่องานวิจัย โดยไม่พิสูจน์งานวิจัยนั้น ว่าจริงหรือไม่จริงตามที่เขาวิจัย คือคนโง่ที่สุดในโลกที่สุดในโลกคนนึง แล้วหลงว่าตนเองฉลาดว่าเข้าถึงงานวิจัยได้ อย่าเป็นคนโง่ที่หลงฉลาด มีงานวิจัยใดๆ มีเอกสารใดๆ มีหนังสือใดๆ มีข้อมูลใดๆ จากใครๆ เราอย่าพึ่งรับ ว่าใช่ เราอย่าพึ่งปฏิเสธว่าไม่ใช่ อย่าพึ่งเชื่อว่าใช่ อย่าพึ่งปฏิเสธว่าไม่ใช่ เราเอาสิ่งเหล่านั้น มาเก็บข้อมูลเพิ่มก่อน มาเก็บข้อมูลเพิ่มก่อนว่า ใช่หรือไม่ใช่ นี่คือสัจจะเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นต่อให้ใครอ้างงานวิจัย คุณอย่ามาอ้างงานวิจัยกับอาจารย์นะ อาจารย์ไม่เชื่อง่ายๆหรอก อาจารย์จะว่าไปจริงๆอาจารย์ชอบวิจริงมากกว่าวิจัย พูดก็พูด อาจารย์นี่วิจริง มากกว่าวิจัย ต้องเอาวิจริงมาพูด เอาแต่วิจัยมาพูดเฉยๆนี่ ถ้าวิจัยแก้ปัญหาได้ แล้วแก้ทำไม การกินนมแม่แล้วก็กินน้ำตาม แก้ทำไมหละ แก้ทำไมว่า ไม่ต้องกินน้ำตามแล้ว แก้ทำไม เปลี่ยนทำไม เพราะว่างานวิจัย มันถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรือไง หรือยาที่เขาทะลิโดมั๊ย บอกมีงานวิจัยว่า หญิงตั้งครรภ์กินได้ กินไปกินมาลูกพิกลพิการ ก็ผ่านการวิจัยไม่ใช่เหรอ เห็นไหม สิ่งที่ผ่านการวิจัยมันก็ใช้ไม่ได้ สุดท้ายมันก็เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นงานวิจัยจะหมายความว่ามันจะใช้ได้ร้อยเปอร์เซนต์ บางอย่างเราก็เคารพ เมื่อพิสูจน์จริงตามงานวิจัยนั้นเราก็เคารพ ถ้าไม่จริงเราก็ไม่เคารพ ต้องเปลี่ยนแปลง ทำไมเราจะต้องถูกครอบงำด้วยความไม่จริงด้วย ความไม่จริงต่อให้เท่ห์ขนาดไหนเราก็ไม่เอา การดับทุกข์ไม่ได้ เท่ห์ขนาดไหน เราก็ไม่เอา ต่อให้ไม่เท่ห์ดับทุกข์ไม่ได้ เราก็เอา อาจารย์ต่อให้ไม่มีงานวิจัย แต่มีวิจริงว่าแก้ไขปัญหาได้ อาจารย์เอาเลยนะ เอาสิ่งจริงที่แก้ปัญหาได้ บางทีงานวิจัยยังไม่ออก แต่วิจริงออกแล้วคนเขาทำๆกันไป ได้ผลเยอะแยะไปหมด นั่นแหละวิจริง งานวิจัยค่อยไปเขียนเอาทีหลัง ตักจากความจริงที่สำเร็จ มันก็เขียนไม่ผิด เขียนเดาๆ มันก็ผิดได้ ถูกได้ อย่างงี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราอย่างมงาย มีบางท่านเหมือนกันนะ เขาก็กะแนะกะแหน เหมือนกันว่า โอ้ ดูแล้วพวกเราก็มีแต่คนมีการศึกษาเยอะแยะไปหมดเลย ไม่น่าโง่เลย ไม่น่างมงาย ไม่น่าโง่เลย  อาจารย์ก็เลยบอกว่า เอ้อ ถ้าเราโง่ เรางมงาย แล้วเราหายทุกข์ อาจารย์ยอมโง่หวะ ท่าโง่งมงายแล้วหายทุกข์ได้นะ ปัญหาต่างๆ ลดลง ความทุกข์ลดลง ความสุขเพิ่มขึ้น อาจารย์ยอมโง่ ดีกว่าคนฉลาด เต็มไปด้วยทุกข์ เชิญฉลาดต่อไปเถอะ เชิญคุณฉลาดต่อไป เชิญคุณไม่งมงายต่อไป ทุกข์จังเลย แต่ทุกข์จังเลย คนฉลาดที่เต็มไปด้วยทุกข์ ก็ขอให้คุณฉลาดไปเถอะ ปัญหาเยอะแยะไปหมด ทุกข์เยอะแยะไปหมด แล้วก็บอกว่านั่นคือฉลาด ปัญหามากขึ้นๆ ทุกข์มากขึ้นๆ นั่นคือพฤติกรรมที่ฉลาดหรือ?? นั่นคือพฤติกรรมที่ฉลาดหรือ ??ถ้าความฉลาดของคุณหมายถึงทุกข์มากขึ้น ปัญหามากขึ้น ก็ขอเชิญฉลาดไปเถอะ ขอเชิญคุณใช้ความหมายของคำว่าฉลาดต่อไปเถอะ อาจารย์ขอเป็นคนโง่ดีกว่า เพราะตรงคนโง่ ตรงกันข้ามกับฉลาดไง ฉลาดกับโง่ตรงกันข้ามกันอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมใดที่คุณเห็นว่าโง่ แต่ปัญหาเขาลดลง ความทุกข์เขาลดลง ความผาสุกเขาเพิ่มขึ้น ในทุกมิติ คุณจะหาว่าโง่ อาจารย์ก็ยอมโง่ คุณจะหาว่าโง่ อาจารย์ก็ยอมโง่ ขอเป็นโง่ดีกว่า คนโง่ที่หายทุกข์ เอ้า อยู่ในนี้ ใครอยากเป็นคนฉลาดที่เต็มไปด้วยทุกข์ยกมือ ใครอยากเป็นคนฉลาดที่เต็มไปด้วยทุกข์ยกมือ เอ้าไม่อยากฉลาดเลยเหรอ เต็มไปด้วยทุกข์นะ ฉลาดทำทุกข์ใส่ชีวิตไง ฉลาดที่จะทำทุกข์ใส่ชีวิตไง ใครอยากเป็นคนฉลาด ทำทุกข์ใส่ชีวิต ยกมือ เอ้า ไม่มีสักท่านเลย กล้องไม่แพนไปเลยเหรอ กล้องแพนมาหาอาจารย์คนเดียวเลย ไม่มีเลยท่านผู้ชม กล้องมาไม่ทันเลย แพนใครก็ไม่ได้ หันมาหาอาจารย์คนเดียวเลย ไม่มีท่านผู้ชมเลยนะ โอ้ หึๆ เอา ถามอีกที ถามอีกที ท่านใดอยากเป็นคนฉลาด ทำทุกข์ให้ตัวเองมากๆ ยกมือ อยากฉลาดทำทุกข์ให้ตัวเองมากๆ ยกมือ ฟังให้มันชัด ฟังให้มันชัด โอ้ ไม่มีซักคนเลย คนฉลาดที่เต็มไปด้วยทุกข์ ก็แปลว่าฉลาดที่จะทำทุกข์ให้ตัวเองไง อ้าวทีนี้ ใครอยากเป็นคนโง่ ที่ทำทุกข์ไม่เป็น ทำแต่หายทุกข์เป็นยกมือ โอ้โห เยอะเลย ขอบคุณครับ นี่โอ้โห ไม่กลัวเป็นคนโง่เลยเนาะ ไม่กลัวเป็นคนโง่เลยเหรอ คนโง่ที่ทุกข์น้อยลงๆ เอ้าถามอีกที ใครอยากเป็นคนโง่ที่ทุกข์น้อยลงๆ โปรดยกมือ โอ้โหๆเอามือลง โอ้โห
ทุกท่านเลย นั่งอยู่ในนี้นะ ยอมให้เขาว่าเป็นคนโง่ แต่ทุกข์เราน้อยลงๆ ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ทุกข์จากเหตุการณ์ เศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อมต่างๆ น้อยลงๆ ความผาสุกเพิ่มขึ้นๆ เราขอเป็นคนโง่แบบนี้ดีกว่า ใช่ไหม คือเป็นคนโง่ที่ทำทุกข์ไม่เป็น ทำทุกข์ไม่เก่ง โง่ ไม่เก่งในการทำทุกข์ ไม่ฉลาดในการทำทุกข์ไง เราเป็นคนโง่ที่ไม่ฉลาดเลยในการทำทุกข์ เขาพากันทำทุกข์เก่ง เขาพากันเป็นทุกข์ ฉลาดทำทุกข์แบบนั้นเก่ง ไอ้เราทำไม่เก่งแบบเขา โอ้ เราโง่ทำทุกข์ไม่เก่ง ทำทุกข์ไม่เก่ง ชีวิตก็เลย ไม่ทุกข์ แต่เราฉลาดที่จะทำความผาสุกเก่ง หึๆๆๆ เราโง่ก็ขอโง่ทำทุกข์ไม่เก่งก็แล้วกัน ทำทุกข์ ทำปัญหา ไม่เก่ง และตรงกันข้าม เราจะฉลาดที่จะทำความผาสุก เก่ง เห็นไหม นี่คือสัจจะเป็นเช่นนี้

เราก็เลือกเอา จะโง่แบบไหน จะฉลาดแบบไหน คนเรา นะ ชีวิต มันควรจะได้ความผาสุก และสิ่งที่พี่น้องเรามาทำตามพระพุทธเจ้า ทำตามพ่อหลวง พ่อครู ทำตามอาจารย์ ที่ได้อธิบาย ไปเนี่ย ภาพรวมของเรา สามแสนกว่าท่าน 90 เปอเซนต์ มีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย เศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม ภาพรวมชีวิตดึขึ้นทุกมิติ โดยภาพรวม ในเมื่อภาพรวมชีวิตดีขึ้นทุกมิติ เออ แล้วจะเอาอะไรอีกหละ ภาพรวมดีขึ้นทุกมิติ ปัญหาลดลง ปัญหาลดลง นี่คือปัญหาเหรอ ปัญหาลดลง ความทุกข์ลดลง ความเดือดร้อนลดลง มันคือปัญหาใช่ไหม มันคืออันตรายใช่ไหม ปัญหาในชีวิตเราลดลง ในมิติต่างๆ มันเป็นอันตรายใช่ไหม หรือมันเป็นความปลอดภัย เป็นความปลอดภัยหนะสิ แล้วที่เขาทำๆกันทั่วๆไปหนะ ปัญหาเพิ่มขึ้นๆหนะ มันเป็นอันตรายหรือเป็นความปลอดภัย อันตรายสิ เพิ่มขึ้นๆ อย่างนี้เป็นต้น นี่สัจจะเป็นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าด้านสุขภาพ เราก็ไม่ได้ปฏิเสธการดูแลสุขภาพแผนต่างๆนะ ที่เป็นประโยชน์ ส่วนใดที่เป็นประโยชน์เราก็เคารพเมื่อถึงคราวชีวิตจะต้องใช้เราก็ใช้เราก็เคารพจุดดีของการแพทย์ทุกแผน เพียงแต่เรามีปัญญาที่จะเลือกใช้อย่างเหมาะสมเท่านั้นเอง มีปัญญาที่จะเลือกใช้อย่างเหมาะสม ว่ากาละนี้เราควรจะใช้อะไรๆ บ้าง กาละนี้อะไรควรใช้อะไรไม่ควรใช้ ก็มีปัญญาเลือกใช้อย่างเหมาะสม ในการแพทย์แต่ละแผนแต่ละแผน ในด้านสุขภาพนั้น อย่างแพทย์วิถีธรรมของเราใช้การพึ่งตนเป็นหลัก ในขณะเดียวกันถ้ามีความจำเป็นต้องอาศัยการแพทย์แผนต่างๆร่วมด้วยเราก็ใช้ แต่การแพทย์แผนอื่นๆ ท่านจะเอาของท่านอันเดียว ไม่ค่อยเอาแผนอื่นๆไปร่วม ส่วนใหญ่ท่านก็จะมีอัตตา อวิชาของท่าน ท่านก็จะเอาแต่ของท่านอันเดียว ไม่เอาแผนอื่นๆเท่าไรนัก เอาน้อยหรือไม่เอา แต่ของแพทย์วิถีธรรมของเราก็เน้นการพึ่งตนเป็นหลักถ้าหายก็จบถ้าไม่หายจำเป็นต้องใช้การแพทย์แผนอื่นๆร่วมด้วยแบบไหนๆ เหมาะควร ที่จะใช้การแพทย์แผนใดร่วมด้วย เราก็เคารพ เราก็ไม่มีอัตตา นอกจากไม่มีอัตตาเราก็เลือกใช้อย่างพอเหมาะด้วย เรารู้จักด้วยว่า อันนี้นะ ของการแพทย์แผนนี้แผนนี้ถ้าใช้สิ่งนี้จะดี สิ่งนี้ ไม่เหมาะ อะไรแบบนี้เป็นต้น สิ่งไหนเหมาะ สิ่งไหนไม่เหมาะ เราก็รู้ด้วย เราเคารพ อาจารย์ว่าถ้าวงการสุขภาพ ลดอัตตาได้แบบที่ แพทย์วิถีธรรมพาลดอัตตานี่นะ จะเจริญเลย การแพทย์ การดูแลสุขภาพจะเจริญเลย ลดอัตตาได้แบบแพทย์วิถีธรรมนี้แหละ คือใช้ได้ทุกแผนที่เหมาะควร แต่ก็เน้นไปที่การพึ่งตนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย …………….ปัญหาที่ต้นเหตุเป็นหลัก แก้ปัญหาที่ต้นเหตุเป็นหลัก ในขณะเดียวกัน ถ้าเหมาะควรที่จะใช้อย่างอื่นๆเสริมเติมเต็ม แผนไหนก็ตาม เราก็ใช้เสริมเติมเต็มได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราไม่มีอัตตา ลดอัตตาลงไป จะเกิดความเจริญขึ้น นี่คือสัจจะอย่างงี้

ในประเด็นเรื่องปัสสาวะ เนี่ยแม้นักวิทยาศาสตร์จะพบสารต่างๆ จะพบสารต่างๆ ที่ว่ามากมายแม้จะมีปริมาณน้อย แม้จะมีปริมาณน้อยแต่อย่าดูถูกปรมาณูนะ อย่าดูถูกปรมาณูนะ อะตอมแยกเล็กสุดเลย ที่ซ่อนอยู่ใน ปรมาณู นิวเคลียร์หนะ ปรมาณู แยกอะตอม นิวตอนกับโปรตอนออกจากกัน เล็กสุดเลยนะ ได้พลังงานระดับนิวเคลียร์นะ ได้พลังงานระดับนิวเครียร์นะ อย่าไปดูถูกปรมาณูว่าเล็ก ว่าเล็กขนาดว่า แยกวัตถุต่างๆ เล็กสุดเหลือแต่ โปรตอนกับนิวตอน พอแยกนิวตอนกับโปรตอนออกไป ได้พลังงานปรมณูมหาศาล อย่างงี้เป็นต้น หรือในหลักวิทยาศาสตร์เองก็ค้นพบอยู่แล้วว่า สารบางอย่างอยู่แต่ตัวเขาก็มีฤทธิ์เฉพาะตัวเขา มีคุณสมบัติแบบตัวเขา แต่พอมารวมกันเสร็จเป็นคุณสมบัติใหม่นะ ไฮโดรเจน เนี่ย ติดไฟนะ เขาทำระเบิดไฮโดรเจน ติดไฟนะ ออกซิเจน ช่วยให้ติดไฟเหมือนกัน ไฮโดรเจนเป็นตัวระเบิด ออกซิเจนเป็นตัวช่วยให้ติดไฟ ช่วยให้ระเบิด พอสองอย่างมารวมกัน ไฮโดรเจนสองตัวรวมกันออกซิเจน1ตัวกลายเป็นน้ำ น้ำเนี่ยดับไฟได้ กลายเป็นสิ่งที่ดับไฟ สิ่งที่เป็นระเบิด สิ่งที่เป็นเชื้อเพลิง อันนึงเป็นระเบิดเลย ระเบิดไฟ เป็นระเบิดเลย อีกอันนึงเป็นตัวช่วยจุดระเบิด แต่สองตัวรวมกัน แทนที่จะเป็นระเบิด กลายเป็นตัวดับระเบิด ตัวดับไฟ อย่างงี้เป็นต้น ถ้าให้เป็นอย่างงี้ไป อย่างงี้เป็นต้น แต่ละอย่างเวลามันแยกกันมันเป็นคนละ.. คุณสมบัติ เป็นอย่างนึง แต่พอมารวมกันแล้วมันเป็นอย่างนึง เหมือนกับโซเดียวคอไลน์ โซเดียม ตัวดูดความชื้น แยกจากกันกินแล้วก็ตา คลอไลน์ นี่คลอรีน กินก็ตายเหมือนกัน พอมารวมกันกลายเป็นเกลือ กินแล้วแข็งแรง ถ้ากินพอดี กินเกินก็ตายอีกเหมือนกัน อย่างงี้เป็นต้น ธาตุต่างๆเวลามารวมกันมันจะเกิดคุณสมบัติใหม่ บางอย่างจะเสริมฤทธิ์กัน เพิ่มฤทธิ์กันขึ้นไปอีก บางอย่างจะทำลายฤทธิ์กัน บางอย่างจะกลายเป็นพิษ เวลามารวมกันแล้วเป็นพิษ บางอย่างมารวมกันแล้วเป็นประโยชน์ มีครบหมด บางอย่างมารวมกัน กล้วเป็นพิษ แยกกันไม่เป็นไร มารวมกันแล้วเป็นพิษ มี พอมารวมปุ๊บ เป็นพิษเลย

อย่างงี้เป็นต้น อย่างยา เตต้าไซทิน ไปรวมกับอะไรนะที่เป็นพิษ กับอะไร เตตาไซคิน เวลาแพ้ฟันดำเลยนะ มันไปรวมกับธาตุบางอย่าง เตต้า เอ้ มันมีที่เขาห้าม แหม อาจารย์ก็ท่องไปจนลืมไปหมดแล้ว เขาห้ามใช้คู่กับอะไรบางอย่าง เตต้าไซคิน อ้ายาแก้อักเสบ ยาแก้อักเสบ ใครมีข้อมูลไหม อาจารย์ก็ลืมไปเรียบร้อยแล้ว มันท่องไปนานตั้งแต่สมัยโน้น รู้แต่ว่า ยาเตต้าไซคิน บางคนแพ้บางคนไม่แพ้ เตต้าไซคิน บางคนแพ้บางคนไม่แพ้ เป็นยาแก้อักเสบ คนที่แพ้เนี่ยฟันดำเลย แย่เลย เห็นไหม ธาตุบางอย่างรวมกันแล้วมันเป็นพิษ รวมกันแล้วมันเป็นพิษ ตอนแยกกัน มันไม่เป็นพิษอะไร มันมารวมกับอะไรบางอย่างแล้วเป็นพิษ แต่บางคนใส่เข้าไปมันฆ่าเชื้อเขาได้ อย่างงี้เป็นต้น เนี่ยมันก็มีรายละเอียดต่างๆอยู่ว่า ธาตุแต่ละธาตุบางอย่างรวมกันแล้ว แยกกันมันเป็นพิษ รวมกันมันเป็นประโยชน์ก็มี อย่างงี้เป็นต้น แยกกันมันเป็นประโยชน์ รวมกันมันเป็นพิษก็มีอย่างงี้เป็นต้น มันก็มีรายละเอียดต่างๆ ของแต่ละธาตุแต่ละธาตุ มีทั้งเสริมฤทธิ์กันมีทั้งทำลายฤทธิ์กัน เวลารวมกันนะ มีทั้งเป็นประโยชน์ มีทั้งเป็นโทษก็มี สรุปแล้วเป็นอย่างงี้ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นเนี่ย การที่จะดูว่าปัสสาวะมีธาตุอะไรบ้างเท่านั้น มีสาร มีพลังงาน มีฮอร์โมน อะไรบ้างเท่านั้น ยังไม่ใช่คำตอบนะว่า ว่าเขาจะมีฤทธิ์ ตามธาตุที่มี ขอยืนยัน ว่า วิทยาศาสตร์ ต่อให้จะตรวจเจอ ว่าในปัสสาวะ มีธาตุอะไรบ้างๆ ๆ ก็ยังไม่ใช่คำตอบว่า เมื่อใส่เข้าไปในร่างกายแล้ว ไอ่ธาตุที่เจอว่ามีคุณสมบัติอย่างงั้นอย่างนี้จะออกฤทธิ์ตามนั้น ไม่แน่นะ ยังไม่แน่นะ อาจจะออกฤทธิ์แรงกว่านั้นก็ได้ ไม่แน่นะ ว่ามีน้อยๆๆๆ เนี่ยนะ แต่พอรวมกับธาตุอื่นๆๆ เข้าไป ออกฤทธิ์แรงกว่านั้นก็ได้ อย่างเช่นยาละลายลิ่มเลือด อลิโพติน มีน้อยนึง ไม่น่าจะมีฤทธิ์อะไร พอกินเข้าไปจริงๆ ออกฤทธิ์ละลายลิ่มเลือดได้ ก็ได้ หลายท่าน ละลายลิ่มเลือดได้ เพราะอะไร เพราะเขาไปรวมกับอย่างอื่นอีก รวมกับ พอสซ่าแกนดิน รวมกับ โกรทฮอร์โมน กับ อินโฟร่อน กับอะไร เยอะแยะ กับยูเรีย เยอะแยะไปหมด และผลสุดท้ายของการรวมกันเขาเป็นอะไรต่างหาก นั่นแหละคือสัจจะสุดท้ายว่าเขาเป็นอะไร ขนาดยาแผนปัจจุบันหนึ่งเม็ด ยังมีสารตั้งหลายตัวนะ สารตั้งหลายตัวรวมกัน แล้วผลมันออกมายังไง หรือแม้แต่รักษาโรคเนี่ย ต้องใส่ยาหลายชนิดเข้าไปแล้วผลออกมายังไง ยาบางอย่างใส่พร้อมกันไม่ได้นะ มันขัดขวางกัน มันขัดขวางกัน ยารักษาพวกแก้อักเสบเนี่ยมันจะกัดกระเพาะนะ ยาแก้โรคกระเพาะ มันไปขวางการดูดซึมของยาแก้อักเสบ อย่างงี้เป็นต้นนะ แล้วมันก็ทำให้ แคลเซี่ยมเคลื่อนออกจากกระดูก กลายเป็นมีปัญหาเรื่องกระดูก ยากระดูกแสลงกระเพาะ ยากะเพาะแสลงกระดูก พอเป็นโรคทั้งสองอัน ตกลงคุณจะเอาโรคไหนไว้ คุณจะเอาโรคไหนไว้ก่อน คุณจะเอาโรคไหนไว้ เพราะมันรักษาพร้อมกันไม่ได้ อย่างงี้เป็นต้นนะ บางอย่างมันก็ฤทธิ์มันค้านแย้งกัน ยารักษาโรคหัวใจหลายอย่างที่มันมีปัญหากับ หอบหืด ยารักษาหอบหืด มีปัญหากับหัวใจ อย่างงี้เป็นต้น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อ มันเป็น กล้ามเนื้อที่เราปวดเมื่อยเนื้อตัว กินเข้าไปมากๆ กลายเป็นหัวใจไม่ทำงาน ตายไปก็มี มันไปคลายกล้ามเนื้อหัวใจด้วย มีเคสรีพอร์ทอยู่แล้ว มีเคสที่เป็นอย่างงี้ กินยาคลายกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยเนื้อตัว กินไปมากๆมันคลายไปถึงหัวใจ คลายไปถึงลำไส้ ถ่ายก็ไม่ถ่าย มันคลายการทำงานไปหมด หัวใจก็ไม่ค่อยทำงาน แย่ไปเลย จนล้มเหลวก็มี อย่างงี้เป็นต้น เห็นไหมมันออกฤทธิ์อันนึง แต่มันไปทำไม่ดีอีกอันนึงก็มี อย่างงี้เป็นต้น ก็ไปแก้ลองไปให้ยากระตุ้นการทำงานของหัวใจ ของลำไส้สิ มันก็จะทำให้กล้ามเนื้อทำงานอีก มันก็มาตึงแข็งอีก กล้ามเนื้อ อย่างงี้เป็นต้น มันจะกลับไปกลับมาอยู่อย่างเงี้ย ชีวิต ถ้าเราไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ มันจะกลับไปกลับมาๆ เอาเป็นอันว่า อย่างที่นำเรียนเมื่อกี้ว่า ตัวเจอ อิลิโปติน ยาบำรุงเม็ดเลือดแดง เวลาให้เข้าไปจริงๆ มันอาจจะบำรุงหรือไม่บำรุงก็ได้ เพราะมันมีสารอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอีก มันจะทำลายฤทธิ์กันหรือว่าจะเสริมฤทธิ์กัน หรือว่าจะเป็นสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ไปกว่านั้น หรือว่ามันจะเป็นพิษ มันเป็นไปได้สี่อย่างนะ ฟังชัดๆนะ ในปัสสาวะเนี่ย นักวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงตรงนี้หรอก ยังเอาเดาๆ ว่าเจอธาตุนั้นธาตุนี้ สารนั้นสารนี้ แล้วคาดการณ์ สารนั้นสารนี้มันมีฤทธ์แบบนั้นแบบนี้ ยังไม่ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนั้นนะแล้วก็บอกอีกว่ามีน้อยก็เลยไม่สนใจว่าจะเป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง มีน้อยก็จริงแต่มันรวมกับอะไรๆ มันเสริมฤทธิ์กันกลายเป็นฤทธิ์เยอะนะ อย่าไปดูถูกนะ ไอ้น้อยๆ พอสังเคราะห์กันเสร็จกลายเป็นฤทธิ์เยอะ อย่างงี้เป็นต้น แล้วเราก็พบว่าอย่างงั้นในปัสสาวะ กลายเป็นว่าที่เขาว่ามีน้อยๆ แต่ละอย่างพอสังเคราะห์กันแล้วเสริมฤทธิ์กันหมดเลย ทำไมเรากล้าพูดอย่างงั้น เพราะว่าเราทดลองปฏิบัติจริงกับเราแล้วก็ลูกหลานพระพุทธเจ้าที่เชื่อมั่นพระพุทธเจ้าแล้วก็ใช้ ปรากฏว่าฤทธิ์ของสารต่างๆที่ค้นพบนั้น ไม่ว่าฤทธิ์ใดๆก็ตาม ปรากฏว่าออกฤทธิ์แรงกว่าปกติ แรงกว่าทั่วๆไปด้วย โกรทฮอร์โมน สร้างการเจริญเติบโต ถ้าใครเป็นแผลก็ซ่อมสร้างอย่างเร็วเลย โพซ่าแกนิน ต้านการอักเสบ เราปวดมือ มีดบาดมือเป็นต้น เลือดไหล โอ้ย ปวดๆ ในระหว่างยังไม่ทำก็ปวดอยู่นั้นนะ จุ่มปัสสาวะปุ๊บ อาการปวดลดลงเลย นี่คือโพซ่าแกดิน ที่เขาออกฤทธิ์แรงกว่าปกติ เพราะมีอย่างอื่นมาเสริมฤทธิ์ ทันทีแล้วมีอย่างอื่นมาเสริมฤทธิ์เลย แล้วก็ยังช่วยกระบวนการแข็งตัวของเลือดอย่างรวดเร็วด้วย เขาก็ช่วยแข็งตัวของเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดหยุดอย่างรวดเร็ว กว่าที่เราเอามือกดเฉยๆ กว่าที่เราเอาอย่างอื่นทา ก็แปลว่า เขามีธาตุ มีสารที่ช่วยให้หยุดเลือดเร็ว ชีวิตเอาไปใช้ได้เร็ว ได้มาก อย่างงี้เป็นต้น

แต่อย่างน้อยเราชัดเจนว่า อาการปวดลดลงแน่นอนและแผลก็หายเร็วกว่าปกติด้วย นั่นแสดงว่า โกรทฮอร์โมน ที่ซ่อมสร้างการเจริญเติบโต สร้างเซลล์ให้แข็งแรงเป็นหนุ่มเป็นสาว โพสซ่าแกดิน ต้านการอักเสบ ออกฤทธิ์แรงกว่าปกติ พร้อมอิลิโทโพติน ที่จะสร้างเม็ดเลือดแดงเสริมความแข็งแรงต่างๆ เซลล์ที่บาดเจ็บนั้นก็มีฤทธิ์มากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น อินโตโฟล่อนที่สร้างภูมิต้านทาน ก็ไม่ใช่อินเตอโฟล่อนธรรมดา กลายเป็นเสริมฤทธิ์ของอินเตอโฟล่อนเข้าไปอีก สร้างภูมิต้านทาง อย่างงี้เป็นต้น ยูเรียก็ไม่ใช่ยูเรียธรรมดาในห้องทดลอง ที่ 7% ที่จะต้านเชื้อโรคได้ ปรากฏว่ายูเรีย 2.5% ไปรวมกับธาตุอื่นๆ กลายเป็นแอนตี้ไบโอติกเลย ต้านเชื้อโรคได้เลยเพราะว่าอาจารย์เจ็บคอเนี่ยนะ สเตปสแตป เล่นงานเนี่ย สเตปสแตปเล่นงาน เจ็บคอนี่ ทำอะไรก็ไม่หายนี่นะดื่มปัสสาวะเก่า ด้วยที่เขาว่ามันมีเชื้อโรคหมักหมมเนี่ยแหละ ดื่มปัสสาวะเก่า ปัสสาวะใหม่ เอายังไม่อยู่ ดื่มปัสสาวะเก่า 6 เดือน กินเข้าไปครั้งเดียว หายเจ็บคอเลย อย่างงี้เป็นต้น เห็นไหมการสังเคราะห์กันเนี่ย เขาสังเคราะห์กันแล้วเขาเป็นสารหรือพลังงานหรือจุลชีพที่เป็นประโยชน์ จุลชีวะที่เป็นประโยชน์ อย่างงี้เป็นต้น เราเดาเอาว่ามันมีเชื้อโรคนั้นเชื้อโรคนี้ แม้แต่ตรวจเจอเชื้อโรค แม้แต่ตรวจเจอเชื้อโรค คนที่เขากระเพาะปัสสาวะอักเสบ จำนวนมากเลยที่ดื่มปัสสาวะแล้วหายกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เยอะมากเลย กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีการติดเชื้อนะ มันอักเสบ มีการติดเชื้อ ตรวจก็เจอเชื้อด้วย แต่พอกินกลับเข้าไปแล้วกลายเป็นวัคซีน กลายเป็นเซลุ่ม กลายเป็นวัคซีน เขามีเซลุ่มอยู่ในตัว เป็นวัคซีนอยู่ในตัว เป็นแอนตี้ไบโอติก เป็นยาปฏิชีวนะอยู่ในตัวกลายเป็นกินเข้าไปแล้วทุเลาอย่างรวดเร็วเลยอาการปัสสาวะอักเสบ เพราะฉะนั้น เชื้อโรคที่ว่าเห็น เชื้อโรคที่ว่าเห็น เวลาสังเคราะห์กันกับเชื้อโรคตัวอื่นๆ สารอื่นๆ ที่อยู่ในปัสสาวะ สารอื่นๆที่อยู่ในปัสสาวะแล้วก็อากาศเนี่ย สังเคราะห์กันแล้วเชื้อโรคที่ว่าเห็นนั้น ไม่ได้เป็นเชื้อโรคที่ทำลายชีวิต กลายเป็นวัคซีน กลายเป็นเชื้อที่มีฤทธิ์อ่อน โดยปกติถ้าเขาแยก เขาอยู่คนเดียว เขากลายเป็นพิษ อยู่ในร่างกายเราเขาจะเป็นพิษ อย่างงี้เป็นต้นนะ ถ้าเขาแยก เขาอยู่ตัวคนเดียว เขากลายเป็นพิษ แต่พอสังเคราะห์กับปัสสาวะ สังเคราะห์กับอากาศต่างๆ เขากลายเป็นยารักษาพิษนั้น ยารักษาโรคนั้น อย่างงี้เป็นต้น นี่คือเรื่องมหัศจรรย์ นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ เพราะเขาไม่ใช่ตัวเขาเดี่ยวๆ เขาไม่ใช่ตัวเขาไม่ใช่สารนั้นเดี่ยวๆ ไม่ใช่เชื้อนั้นเดี่ยวๆ ไม่ใช่สารนั้นเดี่ยวๆ ไม่ใช่เชื้อนั้นเดี่ยวๆ แต่มีการสังเคราะห์กับสารที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีสารกว่าพันชนิด กว่าพันชนิดนะ สารหนะ กว่าพันชนิดนะ เราต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างงี้ นักวิทยาศาสตร์เนี่ยต้องฉลาดที่จะไม่ใช่ ศึกษาอะไรก็แยกเดี่ยว นี้อาจารย์จะเล่าความจริงให้ฟังนะว่า งานวิจัยทางคลินิกที่เขาเอาธาตุธาตุเดียว สารสารเดียว ไปวิจัยกับสัตว์กับคนแล้วพบว่าลดโรคได้แต่พอมาใช้กับชีวิตจริงเนี่ยมันลดไม่ได้ เพราะอะไร ไอ่ธาตุธาตุเดียวนั้นพอมารวมกับอย่างอื่น มารวมกับอาหาร อากาศ มารวมกับอะไรอะไรอะไรอะไรที่มันเป็นชีวิตจริงหนะ มารวมกับความจริงของชีวิตมันกลายเป็นแก้ปัญหาไม่ได้ ฟังชัดๆ นะ มารวมกับชีวิตจริงของชีวิตกลายเป็นแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีงานวิจัยในห้องทดลองที่ล้มเหลวเยอะแยะไปหมดเลย เพราะมาสังเคราะห์กับชีวิตจริงแล้วมันลดฤทธิ์ลงหรือมันเป็นพิษ มันลดฤทธิ์ลงหรือมันเป็นพิษ อย่างงี้เป็นต้น มันใช้ไม่ได้เยอะแยะไปหมดเลย ฟังชัดๆ ชีวิตจริงนั้นคือการสังเคราะห์กัน เป็นองค์รวมมีเหตุปัจจัยมาสังเคราะห์เพราะฉะนั้นมีสิ่งใดที่ใส่เข้าไปแล้วมันแก้ปัญหาได้ นั่นคือสิ่งที่แก้ปัญหาได้ ไม่ใช่เพียงแค่วิจัย 1 ตัว หนึ่งสารในห้องปฏิบัติการแล้วจะแก้ได้นะ เพราะเวลามันไปรวมกับอย่างอื่น มันกลายเป็นพิษก็ได้ มันหมดฤทธิ์ก็ได้ หรือมันจะมีฤทธิ์มากกว่าเดิมก็ได้ หรือมันจะมีฤทธิ์เพี๊ยนไปก็ได้ มันเป็นไปได้หมด มันเป็นไปได้หมด หมดฤทธิ์ก็ได้ เป็นพิษก็ได้ มีฤทธิ์เท่าเดิมก็ได้ มีฤทธิ์มากขึ้นก็ได้ มีฤทธิ์เพี๊ยนเลยก็ได้ ต่างไปจากเดิมเลยก็ได้ การสังเคราะห์กันเนี่ยมันต่างนะ โซเดี่ยวคอไลน์คือเกลือนะ ถ้าแยกออกมาเป็นพิษนะ แยกเกลือออกจากกันคือพิษนะ แยกโซเดี้ยมออกไปกลายเป็นสารดูความชื้นไปกินตายนะ สารดูดความชื้น แยกคลอรีนคลอไลน์ คลอรีนไปฆ่าเชื้อนะ เอาไปฆ่าเชื้อนะ น้ำประปาหนะ ตายนะ แยกธาตุมันออก แต่มันมารวมกันมันเป็นพลังชีวิตเลยเกลือเป็นพลังชีวิตที่ดีที่สุดในโลก ความเค็มที่ดีที่สุดในโลก ต่อชีวิต ถ้าปริมาณพอดี นี่ชัดๆมากเลย หรือแม้แต่ไฮโดรเจน 2 ตัวกับออกซิเจน 1 ตัว ถ้ามารวมกันเป็นน้ำเลี้ยงชีวิตนะ แยกออกไปเป็นระเบิดนะ ระเบิดไฮโดรเจนนะ แยกไฮโดรเจนออกไปมันติดไฟ เขาไปทำระเบิดไฮโดรเจนนะ ตอนนี้เขากำลังคิดเรื่อง เอาน้ำเอาปัสสาวะในต่างประเทศเขาเอาละ เริ่มละ เอาน้ำเนี่ยไปแยกไฮโดรเจนออกมาเพื่อที่จะมาขับเคลื่อนรถยนต์ ไม่ใช่ รถมอเตอร์ไซด์ อันนี้เขาคิดออกแล้ว มีงานวิจัยออกมาละ ใช้น้ำนี่แหละใช้ไฟฟ้าเข้าไปแยกน้ำ แล้วได้ไฮโดรเจน แล้วเอาไฮโดรเจนนั้นมาขับเคลื่อน เพราะมันเป็นตัวจุดระเบิด เอามาเป็นตัวขับรถเขาพบว่า 1 ลิตร ไปได้ประมาณ 500 กิโลเมตร ตอนเนี้ย 1 ลิตร ไปได้ 500 กิโลเมตร เขากำลังเก็บข้อมูลกันอยู่ ในเมืองไทยเราก็กำลังทดลองนะ อาจารย์ก็ให้ลูกศิษย์เราเนี่ยแหละทดลอง ทีแรกเขาเอาไปใช้ไฮโดรเจ้น อาจารย์บอก คุณเอาน้ำ h2o ไฮโดรเจน2ตัว ออกซิเจน 1 ตัว คุณก็ได้ไฮโดรเจน 2 ตัว เขาบอกมันระเบิด เขาก็ให้ดูจุดระเบิดได้จริงๆ บึ้มๆเลย ถ้ามันโอ้โหเขาบอกถ้ามันสตาร์ทเครื่องได้เนี่ย ไปได้เลย งั้น ต่างประเทศเขาก็ใช้แบตเตอรี่สตาร์ทเครื่องอาจารย์เลยบอก อาจารย์ดูสารคดีต่างประเทศนะ เขาเอาปัสสาวะไปแยกเพราะปัสสาวะมันเป็นแอมโมเนีย nh3 nh4 ไนโตรเจน 1 ตัว ไฮโดรเจน มัน 3 4 ตัว มันมีแอมโมเนีย กับแอมโมเนีย แอมโมเนีย แอมโมเนีย อาจารย์จำไม่ได้ว่าไอเนีย กับเนีย อะไร 3 อะไร 4 มันจะไม่ 3 ก็ 4 นี่แหละ อันนึงเนี่ยม อันนึงเนียเนีย 3 เหรอ เนี่ยม 4 เหรอ นั่นแหละๆ มันมีไฮโดรเจน มันมีไฮโดรเจน ตั้ง 3 ตัว 4 ตัว อาจารย์ก็เลยบอกเขา คุณลองไปแยกดูเพราะต่างประเทศเขาแยกปัสสาวะแล้วพบว่า ได้ไฮโดรเจนเนี่ย เอามาผลิตไฟฟ้าได้แล้ว ต่างประเทศเขาทำแล้ว แยกปัสสาวะเนี่ย มาผลิตไฟฟ้า เขาทำได้แล้ว นะมีสารคดีอยู่ ดีกว่าน้ำ เพราะว่ามีไฮโดรเจนเยอะกว่า มีไฮโดรเจนเยอะกว่า อย่างงี้เป็นต้น ก็ยกตัวอย่างให้ฟังเล่าให้ฟัง ว่าแต่ละอย่างแต่ละอย่าง มันแยกกันรวมกัน เนี่ย มันฤทธิ์คนละอย่าง คนละอย่างนะ เสร็จแล้วนักวิทยาศาสตร์ ก็จะนี่แหละ คนที่บอกว่าตัวเองเนนักวิทยาศาตร์แต่ก็ตีไม่แตกเรื่องนี้ ตีไม่แตกเรื่องการสังเคราะห์กันของสารว่าสารมันมารวมกันเนี่ย สารหรือพลังงานมารวมกัน มันจะเป็นสิ่งใหม่ มันเป็นสิ่งใหม่ มันมีอยู่ ทุกอย่างมันไม่เที่ยงไง กฏของพระพุทธเจ้า มันกลายเป็นสิ่งใหม่ สิ่งใหม่นั้นจะเป็นประโยชน์ก็ได้เป็นโทษก็ได้มีฤทธิ์มากขึ้นก็ได้มีฤทธิ์น้อยลงก็ได้ นี่คือสัจจะ ทีนี้เรื่องปัสสาวะจึงเป็นองค์รวม ทีนี้ในวงการสุขภาพค้นพบว่า นี้การแพทย์ทางเลือกต่างๆแม้แต่แพทย์แผนปัจจุบันในต่างประเทศ ก็ค้นพบว่าเอาปัสสาวะนี่นะ มาแบบเป็นองค์รวมคือเขาสังเคราะห์กันเจอธาตุนั้นธาตุนี้ต่างๆพอมาสังเคราะห์กัน เสร็จกลายเป็นเอามาสังเคราะห์กันเสร็จกลายเป็น ยา ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ระคนไปด้วยยา กลายเป็นยาที่ลดโรคได้ทุกโรค แต่ก็ไม่ได้ทุกคนนะ ลดโรคได้ทุกโรค แต่ไม่ใช่ทุกคน นี่คือสัจจะที่มันเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ไปไม่ถึง จุดที่มันรวมกันคือนักวิทยาศาสตร์ที่ค้านแย้งอยู่ตอนนี้ หรือว่า ผู้ที่ค้านแย้งอยู่ตอนนี้คือ ยังไปไม่ถึงจุดที่ธาตุต่างๆที่อยู่ในปัสสาวะถ้ามันรวมกันแล้วรวมกับอากาศแล้ว แม้มีเชื้อปนไปด้วยจุลินทรีย์ ดีไม่ดีก็แล้วแต่ ปนไปอยู่ในนั้นหนะ แล้วผลออกมาเป็นเช่นใด ผลออกมาเป็นเช่นใด นะ เนี่ยอาจารย์อยากให้เห็นเนี่ย ที่วิจัยเขาวิจัย นั้นหนะ ในชุดนี้แหละ นะ อยากให้เห็นอยากให้ไปดูตรงที่เขาวิจัย แยกเป็นเครื่องไฟฟ้าหนะ เครื่องผลิต เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ถ้าเลื่อนไป ถ้าหาจุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้จะดี เขาไปทำเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ด้วย ในงานวิจัยชิ้นนี้ นอกจากดูแลสุขภาพคนแล้วไปเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ลองไปหาดูเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เขาทำ มันมีอยู่ อย่างงี้เป็นต้น เราก็จะเห็นชัด คือตอนนี้ นักวิจัย หรือว่า ผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์เนี่ย ท่านยังตีไม่แตกเรื่องนี้ พอตีไม่แตกเรื่องนี้ก็ยังไปแยกธาตุเป็นอันๆ พอแยกออกมามันนิดเดียว พอแยกออกมามันนิดเดียว แล้วก็เดาเอาเลยว่า มันคงไม่มีฤทธิ์อะไรหรอก นิดเดียว มันไม่มีฤทธิ์อะไรหรอก แต่หารู้ไม่ว่าเวลามันสังเคราะห์กัน ไอ้นิดเดียวๆ นี่แหละสังเคราะห์กับตัวอื่น มันเกิดผลยังไง มันเกิดผลใหม่ ที่ลดโรคได้ทุกโรค อย่างงี้เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนนะ ลดโรคได้ทุกโรค แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน คนที่หนักมากๆ คนที่มีวิบากมากๆ ก็ยังไม่ทุเลา บางจังหวะ มีวิบาก เข้ามา ก็ยังไม่ทุเลา แต่โดยภาพรวมเนี่ย นะ กว่า 90% 80 90 เปอร์เซนต์โรคลดลง ก็ใช้ได้แล้ว ยาที่มีฤทธิ์ทำให้คนลดความทุกข์ทรมานลง ได้ถึง 80 90 เปอร์เซนต์ของผู้ที่มาใช้เนี่ย มันก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องซื้อด้วย ไม่มีโรคแทรกซ้อนด้วย แน่นอน บางท่านก็จะมีอาการหนักเกิน มีวิบากต่างๆ ก็จะยังไม่ดีขึ้น ก็ใช้อย่างอื่นเสริมเติมเต็มกันเข้าไปอย่างงี้เป็นต้น บางท่านเสริมเติมเต็มไปทุกอย่างเลยก็ยัง ไม่ดีขึ้น ก็มี เสริมเติมเต็มไปทุกอย่างเลยก็ยังไม่ดีขึ้นเลยก็มี เสริมเติมเต็มไปหมดก็ยังแย่ลงไป วิธีดูว่ามัน จริงๆอยากรู้ว่าเอ๊ที่แย่ลง แย่ลงจากอะไรๆ นะ ง่ายๆเลย ถ้ามันแย่ลงจากสิ่งใดๆ หยุดสิ่งนั้นแล้วมันจะดีขึ้น ดูง่ายถ้าแย่ลงจากอะไรนะ หยุดสิ่งนั้นแล้วมันจะดีขึ้น มีหลักการง่ายๆนะ ถ้าแย่ลงจากอะไรหยุดสิ่งนั้นแล้วจะดีขึ้น ถ้าดีขึ้นจากอะไรใส่สิ่งนั้นแล้วจะดีขึ้น ง่ายๆแค่เนี๊ย แต่ถ้าหยุดทุกอย่างก็ยังแย่ลง ใส่ทุกอย่างก็ยังแย่ลง ก็แปลว่าอะไร แปลว่ามันไม่อะไรถูกกันแล้ว โรคมันแย่ลง เพราะโรค ถ้าหยุดทุกอย่างก็ยังแย่ลง หยุดสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ยังแย่ลง ใส่สิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าไปก็ยังแย่ลง แสดงว่าเกิดจากโรคละอันนั้น เกิดจากโรคที่ อาการหนัก แล้วก็เอาอะไรก็ช่วยไม่ได้ อะไรก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสภาพที่ว่า เออ อาการไม่สบายนะเสร็จแล้วหยุดบางอย่างแล้วดีขึ้นแสดงว่ามันเกิดจากสั่งนั้น อย่างอาจารย์เนี่ย เออ มันมีตุ่มๆ ขึ้นมาที่คอด้านหลังนี่นะ เพราะว่าไปกินไขมันเยอะไปหน่อย นึกว่ามันเย็นมันขาด ธาตุอาหาร ที่ไหนได้ มันขาดผักต้ม ขาดน้ำต้มผัก อะไรต่างๆนะ เรากินน้อยไปหน่อยแต่เราคำนวณผิด วิบากมา เราก็เลย ไปกินไขมันเยอะไปหน่อยมันก็เป็นก้อน มันก็เป็นตุ่มไขมันขึ้นมา แต่พอเราจับได้ มันน่าจะเกิดจากไขมัน เราลดไขมันลงมันก็ยุบลง เห็นไหมถ้าอะไรมันเกิน เกิดจากสิ่งนั้น เราหยุดสิ่งนั้น จะลดลง อย่างงี้เป็นต้นนะ เราก็ไปกินผักต้มมากขึ้น หึๆ ต้มผัก ผักต้ม เป็นต้นก็ดีขึ้น เห็นไหมถ้าทำได้ถูกก็ดีขึ้น เอาหละ อาจารย์ก็พยายามที่จะอธิบาย มาตรงนี้ เพื่อที่จะ ให้คนนี่เป็นนักวิทยาศาสตร์มากขึ้นไม่ใช่ว่า แค่เจอสารอะไรเจอสารอะไร แล้วก็จะไปดูปริมาณกับสิ่งอื่นเลย โดยที่ไม่ดูการสังเคราะห์กันเนี่ย มันไม่ได้ เพราะมันสังเคราะห์กันแล้วมันเกิดสิ่งใหม่ได้ อย่าดูถูกการสังเคราะห์กัน อย่าดูถูกการแยก อย่าดูถูกการสังเคราะห์ แยกออกไปเป็นปรมณูก็ได้ อย่าดูถูกการสังเคราะห์กันมันเป็นสิ่งใหม่ได้เสมอ เพิ่มฤทธิ์ก็ได้ เพิ่มฤทธิ์มากขึ้นก็ได้ ลดฤทธิ์ก็ได้ เป็นพิษก็ได้ เป็นประโยชน์มากขึ้นก็ได้ มันได้หมดเลย ต้องดูองค์รวม ว่าถ้าสิ่งนั้นเป็นองค์รวมก็เป็นองค์รวม หรือถ้าทดลองแบบแยกธาตุในปัสสาวะ ก็ลองแยกธาตุแต่ละธาตุมาแล้วก็พิสูจน์เป็นธาตุแต่ละอย่างแต่ละอย่างไปไม่ใช่ว่า แยกธาตุออกมาแล้วเอ้าทีนี้ แยกแต่ละอย่างแต่ละอย่างออกมาแล้ว ต่อให้มันได้ผลยังไง ถ้าจะเอาไปใช้ก็ต้องเอาแบบ แยกๆนั้นไปใช้นะ มันถึงจะได้ผล แบบนั้น แต่ถ้าเอาแบบแยกๆนั้นไปใช้ มันได้ผลแบบไหนก็แบบนั้น แต่อย่าคิดว่าเวลามารวมแล้วมันจะเป็นผลแบบนั้นนะ มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะตัวรวมก็เป็นอีกแบบนึง พูดไปนี่ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจป่าวก็ไม่รู้ พูดยิ่งจะงงไปหรือป่าว เอาละอาจารย์ก็คิดว่าหาทางร่อนลงก่อนดีกว่า พูดไปมากจะเข้าใจก็จะกลายเป็นไม่เข้าใจ หึๆ นั่งอยู่นี่ฟังพอเข้าใจไหม เอา พอเข้าใจนะ ทำไมฉลาดอย่างงี้ เออ นะ เขาก็หาว่าเราโง่นะ เราก็รู้ว่าอะไรสังเคราะห์กับอะไรแล้วเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้สรุปแล้วไม่ได้เดาเอาแค่ว่าเจออะไร ไม่ได้เอาแค่ว่าเจออะไรในปัสสาวะ ไม่ได้เดาเอาแค่ว่าคนนั้นคนนี้ว่าดีว่าไม่ได้ ใช่ไหม เราไม่ได้เดาเอาแค่ว่าเจออะไรในปัสสาวะ แต่เรานั้นเอาปัสสาวะองค์รวมทั้งหมด
หนะ มาใช้กับชีวิตของเรา แล้วก็เก็บข้อมูลกับผู้ที่ใช้ แล้วผลเป็นเช่นใดต่างหาก นี่คือความจริงของชีวิต นี่คือความจริงของชีวิตที่เกิดการสังเคราะห์กัน นะ สังเคราะห์กัน แม้แต่สิ่งที่ แม้แต่การใช้ปัสสาวะของเราที่ใช้ร่วมกับวิธีการอื่นๆ เพราะชีวิตปกติของคน เขาเจ็บเขาปวดเขาใช้ร่วมกับวิธีนั้นวิธีนี้ เขาทำวิธีนั้นวิธีนี้แล้วเขายังไม่หาย เขาก็ใช้วิธีอะไรของเขาก็แล้วแต่ มันทุเลาได้แค่ไหนก็แล้วแต่ มันยังอยู่เท่านั้น พอใช้ปัสสาวะปึ้งเข้าไปแล้วเขาดีขึ้นไปอีก ก็มันแปลว่ามันเกิดจากปัสสาวะ อย่างงี้เป็นต้น หรือเขาใช้ปัสสาวะแล้วเขาก็ยังไม่ดีขึ้น หรือเขาดีขึ้นระดับนึงแล้วมันไม่ไปกว่านั้นแล้วเขาใช้วิธีอื่นเพิ่มขึ้นมาแล้วมันดีขึ้นก็แปลว่า วิธีอื่นนั้นมาเสริม ปัสสาวะนั้นแก้ได้เท่าไหร่ก็ตาม วิธีอื่นก็มาเสริมให้ดีขึ้นเป็นต้น นี่คือความจริง ของชีวิต ก็ต้องดูรายละเอียดแบบนี้ เก็บรายละเอียดว่า ใช้อะไรแล้วมันเกิดผลยังไง ใช้อะไรแล้วมันเกิดผลยังไง ก็จะรู้ว่า อะไรมันมีฤทธิ์ เท่าไหร่อย่างไร ท้ายนี้อาจารย์อยากจะวิเคราะห์อันนึงให้ฟัง นะ ว่า วิเคราะห์สังเคราะห์อันนึงให้ฟังว่า สิ่งที่แต่ละท่านแต่ละท่านระมัดระวังในความปลอดภัยในการใช้สิ่งต่างๆ ในคน หรือในสัตว์ พี่น้องว่า คนมีศีลเคร่งศีลเนี่ย กับคนไม่มีศีลเนี่ย ใครจะละเอียดละออกว่ากัน ใครจะระมัดระวังมากกว่ากัน คนมีศีล จะละเอียดละออมากกว่า จะระมัดระวังมากกว่า เพราะคนมีศีล เขากลัวบาป เบียดเบียนนิดเดียวเขาก็ไม่เอา แค่คิดไม่ชอบใจนิดเดียวเขาก็รู้สึกแย่มากแล้ว มีความโลภโกรธหลง ชอบ ชัง มีความไม่แช่มชื่นในใจ หรือทำให้ใครไม่สบายใจ นิดเดียวเขาก็ระมัดระวัง เขาก็ไม่อยากจะให้เกิดแล้ว กล่าวไปใย จะให้เกิดการเบียดเบียน ทางกาย ทางวาจา ที่ร้ายแรงนั้นเขาไม่ทำแน่ เขาระมัดระวังที่จะไม่ให้เกิด ฆ่าสัตว์เขาก็ไม่ฆ่า กินสัตว์เขาก็ลดละเลิกการกิน อย่างงี้เป็นต้น เขาพยายามที่จะไม่ให้เกิดการเบียดเบียน ตัวเองและผู้อื่น เพราะฉะนั้นความละเอียดละออในคน มีศีลเนี่ย มีมากกว่า คนไม่มีศีลแน่นอน แม้แค่จิตคิดไม่ดี กับผู้อื่นเนี่ย เขาก็รู้สึกว่ามันแย่แล้ว ไม่ดีนิดเดียวเท่านั้น คิดไม่ชอบใจนิดเดียว คิดไม่ดีนิดเดียว คิดรำคาญนิดเดียว เขาก็ถือว่ามันเป็นบาปใหญ่แล้วในชีวิต เขา กล่าวไปใย เขาจะเอาสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยไปให้คนอื่นกินใช้ มันจะไม่บาปหนักรึถ้าเขาไม่ตรวจสอบก่อน ว่ามันประโยชน์หรือเป็นโทษ พระพุทธเจ้าผู้มีจิตละเอียดอ่อน ที่สุดมีพระปัญญาธิคุณ มากที่สุด จิตละเอียดอ่อนที่สุด มีพระปัญญาธิคุณมากที่สุด จิตเมตตากรุณา สูงที่สุด จิตที่ไม่เบียดเบียนชีวิตใดๆ จิตที่มุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อทุกชีวิต นี่คือศีลตั้งแต่ข้อที่ 1 แล้วในจุลศีล ไม่ให้เกิดความบาดเจ็บล้มตาย ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อชีวิตใดๆ ต่อตนเองคนอื่นสัตว์อื่น แล้วก็ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองคนอื่น สัตว์อื่น นี่จุลศีลข้อที่ 1 เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ นี่พระพุทธเจ้า จะตรัสสิ่งใด ให้เป็นประโยชน์กับมนุษยชาติ นั้นพระองค์ต้องพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก ข้ามภพข้ามชาติ องค์สมณะโคดมนี่ 20 อสงไขยเศษแสนกัปล์ เป็นสายปัญญาธิคุณ ปัญญาธิกะ 20 อสงไขย เศษแสนกัปล์ พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกว่าปัสสาวะปลอดภัยถ้าประเด็นปัสสาวะ ประเด็นอื่นก็ประเด็นอื่น ประเด็นปัสสาวะท่านบอกปลอดภัย หาโทษมิได้เลย เภสัชมูตรเน่า หาได้ง่าย ไม่มีโทษ อย่างงี้เป็นต้น เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็บอกอย่าเชื่อเขาเป็นครูของเรา อย่าเชื่อแม้สมณะนั้นเป็นครูของเราอย่าเชื่อแม้พระพุทธเจ้าเป็นครูของเรา ให้เธอนั้นพิสูจน์ก่อน อย่าพึ่งรับอย่าพึ่งปฏิเสธแล้วก็พิสูจน์ก่อน เราเป็นลูกหลานพระพุทธเจ้า เราก็ต้องพิสูจน์ตามพระพุทธเจ้าก่อน เราก็พิสูจน์ตามจริงๆก็มีท่านที่พิสูจน์มาก่อนด้วย ผู้ที่เป็นลูกหลานพระพุทธเจ้าพิสูจน์มาก่อนๆๆๆ เราก็เก็บข้อมูล แม้ผู้ไม่ใช่ลูกหลานพระพุทธเจ้าจะใช้ปัสสาวะ เราก็เก็บข้อมูลว่าปลอดภัยไหม ๆๆๆๆ ของเราเนี่ย ยิ่งปลอดภัยเบอร์ 1 ยิ่งกว่า การแพทย์แผนใดในโลก สิ่งใดไม่ปลอดภัยเราไม่ให้ใช้เลย ของเรา สิ่งใดสกปรก สิ่งใดไม่ปลอดภัย สกปรกคือก่อโรคนะ ไม่ใช่ว่ามีเชื้อโรคนะ มีเชื้อโรค อาจจะไม่ได้สกปรกก็ได้นะ เพราะมีเชื้อโรคแต่ไม่ได้ก่อโรค แต่รักษาโรคเนี่ย เราถือว่าสะอาดนะ มีเชื้อโรคแต่ช่วยรักษาโรค เราถือว่าสะอาดนะ ฟังให้ชัดนะ สกปรกกับสะอาดนี่ ความหมายคนละเรื่องกันนะ สกปรกแปลว่าก่อโรค สะอาดแปลว่ากำจัดโรค แปลว่าลดโรค ต้องเข้าใจให้ชัด บางทีมีเชื้อโรคด้วย แต่ช่วยให้โรคหาย เราถือว่าสะอาดนะ ช่วยให้หายโรค เราถือว่าสะอาด จะมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อก็ช่าง แต่ช่วยให้โรคลดลงแปลว่าสะอาด นี่คือสะอาดแต่อะไรที่เพิ่มโรคแปลว่าสกปรก มันจะมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อก็ตามนี่คือความหมายของคำว่าสะอาดหรือสกปรกแบบพุทธะนะ

เราเองยิ่งต้องตรวจสอบ แล้วตรวจสอบอีกทดลองแล้วทดลองอีก เอาสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยให้คนกินมันไม่บาปกินหัวตายเรอะ แค่คิดไม่ดีนี่ก็บาปหนักแล้ว แค่คิดรำคาญคนอื่นนิดเดียว ไม่ชอบใจนิดเดียวก็บาปหนักแล้ว กล่าวไปใย จะเอาสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยด้านวัตถุให้คนกินแล้วเป็นโรคเป็นภัยหนะ ให้คนกินคนใช้หนะ มันจะไม่บาปหนักรึ ใครจะไปกล้าในคนที่เขามีศีล เขาไม่กล้า เขาต้องมั่นใจ เท่านั้นว่าเป็นประโยชน์เขาจึงกล้าที่จะประกาศออกไป แล้วเขาจะไม่รู้รึว่าประกาศออกไปจะไม่ถูกด่า เขาจะไม่รู้เรอะ เพราะว่ามีคนเข้าใจผิดเยอะแยะไปหมด เขาจะไม่รู้รึไง คนรังเกียจปัสสาวะเยอะแยะไปหมด ถ้าเขามีโลกธรรมมีอัตตา เขาไม่ทำหรอก รักษาหน้าฉันเรื่องอะไรจะให้คนด่าฉันให้โง่ เรื่องอะไรจะให้เกิดสภาพไม่ดีกับฉันให้โง่ ใช่ไหม เรื่องอะไร เรื่องอะไรจะไปทำให้โง่ เพราะฉะนั้นเขา จะต้องไม่ล้างโลกธรรมได้ ล้างอัตตาได้ เขาจึงจะทำสิ่งนี้ได้ ขอยืนยันการเคลื่อนกรงล้อธรรมจักร คำสอนของพระพุทธเจ้า ค้านแย้งกับความรู้สึกของคนทั้งโลกทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นคนมีกิเลสเคลื่อนกรงล้อธรรมจักรไม่ได้ เพราะคุณกลัวเสียผลประโยชน์ กลัวเสียหน้าเสียตา กลัวเสีย สภาพดีๆ ในชีวิตของคุณ กลัวเสียโลกธรรม กลัวเสียอัตตา คุณเข็นกรงล้อธรรมจักรไม่ได้ คุณช่วยเคลื่อนสืบสานกรงล้อธรรมจักรไม่ได้ คนมีกาม มีโลกธรรม มีอบายมุก มีกาม มีโลกธรรม มีอัตตาจัด เคลื่อนกรงล้อธรรมจักรไม่ได้หรอก เพราะมันต้องรักษากิเลสตัวเองอีกเยอะแยะไปหมด ไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนความต้องการของตัวเอง คนจะเคลื่อนกรงล้อธรรมจักรได้ ต้องสลายอัตตาได้ ต้องไม่มีอะไร จะต้องได้ ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ไม่ได้หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ไม่ได้ไปอยากได้อบายมุกตอบแทน ไม่ได้อยากไปได้กาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตอบแทน ไม่ได้ไปอยากได้ โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตอบแทน แล้วไม่ได้หวั่นไหวต่อการเสื่อมญาติ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ เสื่อมสุข เสื่อมโลกียสุข ไม่ได้หวั่นไหว ต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความสุข ของพุทธะ พุทธะอยู่เหนือ อยู่เหนือโลกธรรม ๘ ไม่ได้ไปหลงอัตตา ว่าจะต้องเกิดสภาพดีๆ อย่างที่มุ่งหมาย แล้วสภาพไม่ดี เกิดกับตัวเองแล้วก็รู้สึกทุกข์ อย่างงู้นงี้ เกิดสภาพไม่ดีแง่นั้นเชิงนี้กับตัวเองแล้วจะต้องทุกข์ ไม่ อยู่เหนือ ดีไม่ดีก็ผาสุกได้ สภาพที่มันเหตุการณ์เข้ามา ก็มีความผาสุกได้ หรือแม้แต่ ไม่ได้ไปหลงยึดดี อัตตาเนี่ย ติดดี ยึดมั่นถือมั่น ไม่ ไม่ได้ไปหลงอย่างงั้น ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นไม่ได้ก็ไม่ได้ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ มีบุญกุศลเท่าไหร่ก็ได้กันเท่าที่ได้ก็จบ ทำดีให้มันเต็มที่ได้เท่าไหร่ก็จบ ไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่น หรือแหม ไปรักษาสภาพดีๆที่ตัวเองต้องได้รับอยู่ตลอดมีอัตตามี ยึดดีแง่นั้นเชิงนี้อยู่ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น คนจะเคลื่อนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ โดยเฉพาะพุทธะเนี่ยนะ ถ้าลดกิเลส 4 กลุ่มนี้ไม่ได้ จ้างก็เคลื่อนกรงล้อธรรมจักรไม่ได้ ช่วยสืบสานกรงล้อธรรมจักรไม่ได้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เข็นกรงล้อธรรมจักร มีสาวกช่วย เข็นช่วยเคลื่อน ช่วยสืบสาน ก็ช่วยกันสืบสานกรงล้อธรรมจักร ประเด็นเรื่องปัสสาวะนี่ คนไม่มีศีลนี่ขับเคลื่อนเรื่องปัสสาวะไม่ได้หรอก ไม่ต้องไปมุ่งหวังกับคนไม่มีศีล ไม่มีทาง ไม่มีทางต่อให้เขารู้ว่าปัสสาวะดี เขาก็จะไม่กล้า เพราะจะเสียโลกธรรม เสียอัตตา แต่พวกเรานี้ไม่มีโลกธรรม ไม่มีอัตตา ลดโลกธรรม ลดอัตตา ไม่มีปัญหา เสียก็เสียไป เสียโลกธรรม เสียอัตตา เสียไป ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่มีจะต้องเสียด้วย นะ เราสบาย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เราไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง คำตรัสของพระพุทธเจ้าเนี่ย เป็นสิ่งที่ ค้านแย้งกับความรู้สึกของคน คนส่วนใหญ่ โลภ อยากได้เยอะๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าโลภ เอาแค่พอเพียง ค้านแย้งนะ กับความรู้สึกของคนนะ คนส่วนใหญ่ แบบนี้ต้องโกรธ ต้องไม่พอใจ พระพุทธเจ้าบอก ต้องไม่โกรธ ต้องเข้าใจเรื่องกรรม มันจึงจะเป็นบุญกุศล จะเกิดสิ่งที่ดี ค้านแย้งความคิด พระองค์ หือออออ อยากซัดซะหน่อย  พระองค์ทำไมบอกไม่ให้ หือออ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้วิวาทะ หือออออ คนปากเหลือเกิน นะ อะไรอย่างงี้เป็นต้น แม้ว่าค้านแย้งกับความรู้สึกของคนนะ คนนี่อยากโกรธ เวลาเจอเรื่องไม่ชอบใจ อยากโกรธ แล้วคนส่วนใหญ่ ก็หลงมิจฉาทิฐิ 10 เยอะแยะไปหมด เห็นประโยชน์เห็นโทษเป็นประโยชน์ ไม่เข้าใจเรื่องกรรมแจ่มแจ้ง หลงยึดมั่นถือมั่นแง่นั้นเชิงนี้ หลงไม่รู้จักแม้แต่ใครคือผู้รู้แท้ อย่างงี้เป็นต้น ก็มีความหลง นี่คือคนส่วนใหญ่ก็มีความหลง มีโลภ โกรธ หลง สารพัด เหลี่ยม มุม นะ แม้แต่ เชื่อไหมเนี่ย เรากินอาหาร วันละมื้อนี่นะ พระพุทธเจ้าบอกกินวันละมื้อดีที่สุด จะเจ็บป่วยน้อย ลำบากกายน้อย เบากาย มีกำลัง เป็นอยู่ผาสุก ในจุลศีล ข้อที่ 9 คอยดูเถอะ ถ้าไม่ทำงานวิจัยออกไป เดี๋ยวเถอะ กระทรวงสาธารณะสุขจะบอกจะเป็นโรคกะเพาะ กินข้าววันละมื้อเขาก็จะบอกเป็นโรคกระเพาะ อาจารย์ตอนกินสามมื้อเป็นโรคกระเพาะ มากินข้าววันละมื้อหายโรคกระเพาะ ยังคุยกับกระทรวงสาธารณสุขไม่รู้เรื่องทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จะคุยยังไง ทำงานวิจัยยังไงกับกระทรวงสาธารณสุขเนี่ย ในคนที่ลดกิเลสได้นะ ก็จะไม่เป็นโรคกระเพาะ ถ้ามากินวันละมื้อ มีรายละเอียดด้วยนะ ถ้าให้คนทั่วไปมากินวันละมื้อละก็เป็นโรคกระเพาะแน่นอน ยังมีกิเลสอยากกินอยู่เยอะแยะไปหมดแล้วไม่ได้กินเครียดตายเป็นโรคกระเพาะแน่ แต่คนลดกิเลสได้แล้วกินวันละมื้อเขาไม่เป็นโรคกระเพาะแล้วสบายด้วย แข็งแรงกว่าเดิมด้วย อย่างงี้เป็นต้น เลยไม่รู้จะคุยกันยังไง นะ มันยังมีรายละเอียดต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นี่ คนละเรื่องคนละราวเลยนะ มาทำงานฟรี ไม่รับเงินไม่รับทองเนี่ย เป็นจุลศีลข้อที่ 13 คนทำงานฟรีนี่จะผาสุกที่สุด คนทั่วไปบอกว่าทำงานฟรีเอาอะไรกินวะ ใช่ไหม มันค้านแย้งกับความรู้สึกของคนทั่วไป คนทั่วไปบอกต้องหาเงินให้ได้เยอะๆจึงจะสุขที่สุดไอ้ของเราทำงานฟรีได้สุขที่สุดแล้วใช้สาธารโภคี มีรายละเอียดอีก อยู่กับกองบุญส่วนกลาง อยู่กับคนดี ทุกคนทำงานฟรี มีผลผลิตอะไรก็เข้าสู่กองกลางก็อยู่รอด แต่ต้องลดกิเลส อย่างงี้เป็นต้นนะ เอาหละขยายไปเรื่อยก็จะไปเรื่อยแหละ

สรุปกลับมาตรงที่ว่า อาจารย์มั่นใจว่า คนมีศีลนี่แหละ ที่จะระมัดระวังมากที่สุดว่าอะไร จะเป็นโทษเป็นประโยชน์ จะมีปัญญา มากที่สุดว่าอะไรเป็นโทษเป็นประโยชน์ต่อชีวิต และเขาจะต้องระมัดระวังมาก ยิ่งกว่าการแพทย์แผนปัจจุบันอีก พูดก็พูด ยิ่งกว่าการแพทย์แผนใดๆ เชื่อไหมว่า คนมีศีลนะ การรักษาในการแพทย์แผนใดก็ตามที่รักษาไปแล้วโอ้โห คนไข้ทรมานมาก เขาเลิกเลยนะ คนมีศีลนี่พระพุทธเจ้าบอกไม่ได้นะ ถ้าทรมานมากนี่ เบียดเบียน จะทำให้มีโรคมากและอายุสั้นเพราะวิธีการใดก็ตามในแพทย์แผนใดก็ตามถ้าทำไปแล้วทรมานนี่นะแค่ทรมานรู้สึกทรมานมากเท่านั้นแค่รู้สึกว่าชักจะไม่ดีละ ชักจะทรมานแล้ว เขาหยุดเลยนะ การแพทย์วิถีธรรมเนี่ย หยุดเลย หยุดทันทีเลยนะ ถ้ารู้สึกโอ้โห ทรมานมากเกินเรียกว่า กิลมะถะ หรือวิวาทะ ทรมานมากเกิน ต้องหยุดเลยนะ แต่เชื่อไหม อย่าหาว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลย การแพทย์หลายแผน ไม่หยุดนะ ไม่หยุดนะ เห็นทรมานมากแต่ทฤษฎีว่าดี วิชาการเขาว่าดีนี่ให้ต่อนะ ให้ต่อจนคนไข้ตายก็มีนะ จะบอกให้ ใครมันละเอียดกว่าใคร ในเรื่องของการรักษาชีวิตคน ใครกลัวบาปมากกว่าใคร ไอเราเนี่ยกลัวบาปมากกว่า เพราะรู้อยู่แล้วใน จูละกัมะวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น เรื่องอะไรเราจะเบียดเบียน เราเองก็จะมีโรคมากอายุสั้นแล้วคนอื่นก็จะมีโรคมากอายุสั้นด้วย ถ้าเบียดเบียนทำให้ทรมาน การรักษาใดที่มันเกิดความทรมานขึ้นเนี่ย ต้องหยุดนะ แพทย์วิถีธรรมต้องหยุดเลยนะ พุทธะต้องหยุดเลย ต่อให้คนอื่นได้ประโยชน์หมดแต่คนนี้ทำแล้วมันทรมาน ต้องหยุดเลย ไม่ถูกกับคนนี้ แต่เชื่อไหมหละ การรักษาที่มีอยู่ ตามแผนต่างๆ ตอนนี้ คนไข้ทรมานตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ไม่หยุด มีไหม มีเลย จะบอกให้ เยอะแยะไปหมดเลย นี่ผิดศีลกันแหลกราญเลยเนี่ย การรักษาโรคที่คนทรมานเยอะแยะไปหมด แต่ไม่หยุด เยอะไปหมดเลย ตอนนี้ เยอะไปหมดเลย มันต้องหยุด ตรงที่ทรมาน ใครที่ทรมานต้องหยุด แต่ถ้าไม่ทรมาน ได้รับประโยชน์ทำต่อไป ทำต่อไป ไม่ว่าแผนใดก็มีส่วนดีทุกแผนอยู่แล้ว ส่วนดีใดที่ทำไปแล้ว ลดความทรมาน ได้ ทำต่อไป ทำต่อไป แต่ส่วนใดที่ทรมานมากขึ้นๆๆ นั่นหยุดเลย พระพุทธเจ้าตรัสเลย จะทำให้มีโรคมาก และอายุสั้น ในจูละกัมะวิภังคสูตร และ อนายสัตสูตร อาพาธสูตร แล้วก็ ธรรมจักรกัปรัตนสูตร มีหลายสูตรเลย ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้เอาไว้ เยอะ ถ้าเอาสูตรมาร้อยเนี่ยสารพัดสูตรเลย ใครละเอียดกว่าใคร ในการระมัดระวังความปลอดภัย ใครจะละเอียดละออเท่าพระพุทธเจ้า ใครจะละเอียดละออ เท่ากับผู้มีศีลแท้ๆ ผู้มีศีลสมาธิปัญญาแท้ๆ ใครจะละเอียดละออเท่า เพราะเราไม่อยากบาป ไม่อยากทำบาป ต่อตนเอง ไม่อยากทำบาปต่อผู้อื่น ไม่อยากเบียดเบียนตัวเอง ไม่อยากเบียดเบียนผู้อื่น ไม่อยากให้เกิดโทษต่อใครๆ ต้องการให้เกิดประโยชน์เท่านั้น เพราะฉะนั้นนี่ ท่านก็ใช้ ปฏิพาน ใช้ญาณปัญญาของแต่ละท่านแต่ละท่าน วิเคราะห์เอาเองก็แล้วกัน วิเคราะห์เอาเองก็แล้วกัน ว่าใครจะละเอียดละออต่อการไม่เบียดเบียนมากกว่ากัน ใครจะละเอียดละออ ต่อการไม่เบียดเบียน มากกว่ากัน บางท่านดูโอ้โห บางท่านนี่ เห็นเราดูแผลเหวอะหวะอย่างงี้โอ้โห กล้ารักษาเองเหรอ อะไรอย่างเงี้ย ก็ไปรักษาทางโน้น แล้วมันไม่ดีขึ้น ไม่เห็นหรือไง ไม่ดีขึ้นแล้วจะให้เขาไม่ดีขึ้นต่อไปหรือไง เขาจะตัดขาอยู่แล้ว เผื่อเขาว่า เขาก็ว่า เผื่อว่ามันมีทางรอดทางอื่น เขาก็เสี่ยงดู เพราะว่ามีข้อมูลว่าดีขึ้นอะไรย่างงี้ แล้วเขาก็ไม่ถูกตัดขา ก็โชคดี อย่างงี้เป็นต้น หรือเขาเห็นมาอยู่แล้วว่าแบบนี้แบบนี้ มันใช้ได้ใช้ได้ปลอดภัยปลอดภัยปลอดภัยอย่างงี้เป็นต้นเขาก็ใช้อย่างสบายใจเพราะเขาเห็นว่ามันปลอดภัย แต่ข้อมูลก็ต่างกันจากผู้ที่ไม่เคยใช้ ข้อมูลก็ต่างกันไป ข้อมูลก็ต่างกันไป กับผู้ที่ไม่เคยใช้ แล้วเขาก็ฉลาดนะ เขาก็ใช้ร่วมกันกับแผนปัจจุบัน ไปล้างแผลกับแผนปัจจุบัน เสร็จแล้วเขาก็มาทาปัสสาวะร่วม เพราะเขารู้ว่าดีขึ้น เพราะเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำแล้วมันดีขึ้น ทำสองอย่างคู่กันไปแล้วดีขึ้น เขาก็ฉลาดที่จะทำสองอย่างคู๋กันไป เห็นไหม เขาฉลาดสุดท้ายเขาไม่ถูกตัดขา แต่เขาใช้แผนเดียวเนี่ยหมอบอกแย่ลงๆ จะตัดขาแล้ว แผนปัจจุบันอย่างเดียว พอเขาใช้สองอย่างร่วมกัน อ้าว เขาดีขึ้น อย่างงี้เป็นต้น หรือบางท่านก็ใช้อย่างเดียว ด้านไหนด้านนึงอันเดียวแล้วดีขึ้นก็จบ เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่า อาจารย์ว่า ความมีจริยธรรมเนี่ย คนมีศีลนี่ละเอียดลองมาปฏิบัติดูหน่อยจะรู้ ว่าเขาคัดเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น อาหารเขาก็ทำไร้สารพิษ แม้แต่จะเบียดเบียนสัตว์ เนื้อสัตว์ เขายังไม่กินเลย เขายังไม่กินเลย แล้วเขาลดการกินลงไปเลย เพราะว่า นี่มันจะเดือนร้อนสัตว์ มันจะเดือดร้อนสัตว์ อย่าหาว่าอย่างโง้นเลยนะ เขาทดลองกับสัตว์ เขายังไม่ทดลองนะ นักปฏิบัติธรรม จะทดลองกับสัตว์เขาก็ไม่ทดลองนะ แต่ว่าถ้าสัตว์เขากินอะไรได้แล้วเขารอด เขาถึงจะเอาให้สัตว์กิน อะไรที่กินคนแล้วรอด ก็แปลว่าสัตว์ก็รอด หรืออะไรที่สัตว์กินแล้วรอด คนก็มีโอกาสรอด อย่างงี้เป็นต้น เขาทดลองกับตัวเองเนี่ย เขาไม่ไปทดลองกับสัตว์ เดรัจฉานนะ ที่การแพทย์ยังตายไปไม่รู้เท่าไหร่ การเภสัช การแพทย์เนี่ย สัตว์เดรัจฉานตายไปไม่รู้เท่าไหร่ๆ แต่เขา นักปฏิบัติธรรมเขาไม่ได้ไปทดลองกับสัตว์อย่างงั้นอย่างงั้นนะ เขาเอาให้กับตัวเองเนี่ย เอาตัวเองนี่แหละ นะ ดูจากข้อมูลว่ามันปลอดภัยก่อนแล้วค่อยทำ เขาก็ต้องรอบคอบน่าดูเหมือนกันแหละ ไม่งั้นจะมาฆ่าตัวเองจะมาฆ่าผู้อื่น บาปตายพอดีแหละ แม้จะสัตว์จะให้สัตว์กินคนก็ปลอดภัยหรือมีข้อมูลว่าสัตว์ปลอดภัยจึงจะให้สัตว์กิน ต้องปลอดภัยพอสมควร อย่างงี้เป็นต้น ถ้าอะไรไม่ปลอดภัยพอสมควรเขาไม่ทำ มันต้องปลอดภัย 80 90 เปอเซนต์ 80 ยังไม่เข้าท่าเท่าไหร่เลยมันต้อง 90 เปอเซนต์ขึ้นไป จึงจะทดลองทำ เพราะ 100% มันไม่ได้ คนเรามันมวิบากอยู่ จังหวะวิบากมาใช้อะไรมันก็ไม่ดีขึ้น จะไปร้อยเปอเซนต์มันไม่ได้หรอก 90 เปอเซนต์ก็พอทดลองหรือ 80 ก็พอทดลอง 80 90 พอที่จะลองใช้กับชีวิตตัวเอง แต่อาจารย์ว่าที่เขาใช้วิธีการรักษาที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ปลอดภัยไม่ถึง 80 90 เปอเซนต์หรอก ไม่ถึงหรอก ก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ หลายอันชัวร์ๆเลย ยาอันตราย ยาอันตราย มีโรคแทรกซ้อน เขียนไว้ตัวแดงๆเลย แล้วก็พยากรณ์อีกต่างหาก กินไปแล้วจะก่อโรค เยอะแยะไปหมด กินไปอีกจะก่อโรค โอ้โห เห็นไหมหละ ชัดเจนไหมหละ กินไปจะก่อโรค งี้เป็นต้น ขนาดรู้ว่าจะก่อโรค ก็ยังเอาเลย กินไปจะไตวาย ตับวาย ก็ยังเอาเลย เห็นไหม เนี่ยเป็นสัจจะ เป็นอย่างเงี้ย ใครละเอียดละออกว่าใคร ถ้าเป็นเรานะ เราหาวิธีอื่น มันมีวิธีอื่นไหม ที่มันอันตรายน้อยกว่านี้ เราหาเพิ่ม เราโอ้โหตับวาย ไตวาย นะมีโรคแทรกซ้อนแบบนั้นแบบนี้ แก้ไม่ได้ ป่านนี้เราต้องหาวิธีอื่นเพิ่มมีวิธีอื่นไหม มีวิธีอื่นไหม ไม่งั้นมันก็ เนี่ย ก็ยังมีวิบากร้ายอยู่อย่างเงี้ย มีโทษอยู่อย่างเงี้ย เราก็ต้องหาวิธีอื่นเสริมเติมเต็ม ถ้าใช้ก็ใช้แค่ ชั่วคราว อย่างงี้เป็นต้น ถ้าเป็นเราเราก็ใช้ชั่วคราวแล้วพยายามหาอย่างอื่นมาเติมเต็ม ถ้าเป็นเรานะ แล้วก็เป็นเราจริงๆ เราก็อยู่ในระบบสุขภาพแผนปัจจุบัน หลายท่านมาอยู่นี่ ก็อยู่ในระบบสุขภาพแผนปัจจุบันมาทั้งนั้นเลย อาจารย์ก็อยู่ในระบบสุขภาพแผนปัจจุบันมา แล้วก็รู้ว่าถ้าทำเท่านั้นก็ได้เท่านั้น แล้วมีโรคแทรกซ้อนอย่างนั้น ทำไมจะไม่รู้ ก็เรียนอยู่ด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน ทฤษฎีเดียวกัน ทำไมจะไม่รู้หละ ก็ในเมื่อรู้แล้วว่า เออ มีประสิทธิภาพรักษาขนาดนี้ เราก็เคารพในส่วนที่รักษาได้ แต่ในส่วนที่มีโรคแทรกซ้อน ไม่คิดจะหาทางแก้เหรอ การคิดหาทางแก้มันก็หลายทาง ทางแผนปัจจุบันก็คิดไป ก็คิดได้เท่าที่คิดได้ แต่มันก็ยังไม่มีทางออกไม่ใช่เหรอ การใช้ยาไปเรื่อยๆทั้งชีวิต เราก็คิดหาทางออกใช้พุทธะแก้ มาหาพุทธรรม มาหาใจที่ไร้ทุกข์ มาหาความดี มาหาสมดุลร้อนเย็น มาหายาในตัว ปัสสาวะมาหาวิธีการอื่นๆๆๆ มาเสริมเติมเต็ม แล้วเราก็พบว่า เติมเต็ม กันได้อย่างดี เราก็พบว่าเติมเต็มกันได้อย่างดีเลย สานกันกับจุดดีของการแพทย์แต่ละแผนได้อย่างดีเลย เพียงแต่ว่ายังไม่เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเท่านั้นเอง ยังเกิดการเดาๆ อยู่ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ สิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ สิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ ยังไม่ได้เกิดมา ยังไม่ได้มาเรียนรู้ ความจริงร่วมกัน ทั้งๆที่จริงเราก็มีทั้งงานวิจัย มีทั้งงานวิจริง ก็ทำค่ายอยู่เป็นประจำๆ ก็คือวิจริง ค่ายเป็นประจำเลยเนี่ยนะ ถ้ามันไม่ดี เป็นส่วนใหญ่ ป่านนี้คนเขาก็หนีไปหมดแล้ว แล้วทำไมมีคนมานิยมมากขึ้นๆ หละ ในขณะที่หมอพูดก็พูดเถอะนะ แพทย์ทางเลือกต่างๆเนี่ยนะ แพทย์ทางเลือกก็ตาม แพทย์แผนไหนก็ตาม ที่เขาว่าอันนั้นดี อันนี้ดี เคยได้ยินข่าวไหมหละ เขาเห่อกันเป็นพักๆ เดี๋ยวอันมาก็เห่อไปอีกแล้ว แล้วก็ซาลงอีก ภายใน 3 ปี ทุกอย่างไม่เกิน 3 ปีซักอย่าง ไปเก็บข้อมูลได้เลย อะไรที่เห่อกันขึ้นไป 3 ปีลง 3 ปีลง 3 ปีลง นี่ 20 กว่าปีแล้วนะ นอกจากไม่ลงแล้วขึ้นด้วยนะเนี่ย การแพทย์วิถีพุทธเนี่ย การแพทย์วิถีธรรมเนี่ย ขึ้นอย่างเดียว อย่างอื่นนะ 3 ปี เสื่อม 3 ปี เสื่อม เท่านั้นแหละ ไปดูได้เลย ส่วนใหญ่ คนเขาไม่เห่ออีกแล้ว บางทีก็แป๊บเดียวเลยนะ เห่อว่าโรคนี้หาย มะเร็งหาย หายโน่น หายนี่ ไป อีกสักพัก ซาไปแล้ว ซาเพราะอะไร เพราะมันไม่จริงไง ถ้ามันจริงก็จะต้อง จริงไปสิ คนก็จะหายเยอะขึ้นๆๆๆ สิ ถ้ามันจริง  แต่เพราะไม่จริงไง เพราะไม่จริงเขาก็เสื่อมไปเรื่อยๆๆๆ แต่ของเรามันของจริง ของจริงมันก็เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ คนก็มามากขึ้นๆ ทำค่ายแต่ละครั้งๆเนี่ย ทำไปๆ นี่ ยิ่งทำไปก็ยิ่งรุ่งเรือง ยิ่งทำไปก็ยิ่งรุ่งเรือง คนหายโรคก็ยิ่งมากขึ้น ทุเลาจากโรค หายจากโรคก็มากขึ้นๆ ก็แน่นอน มีผู้ไม่หายบ้าง ประมาณ 10 เปอเซนต์ก็มี ก็ธรรมดา พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้อยู่แล้ว ก็มีวิบาก มาก คือมันหนักมาก ปฏิบัติไม่ได้ อะไรต่างๆ มันก็มี ที่จะไม่ดีขึ้น ก็มี ที่เราทำแล้วรุ่งเรือง เพราะอะไร เพราะเรา 1 เน้นพึ่งตนเอง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ใช้อริยศีล ใช้สมดุลร้อนเย็น ใช้ปัสสาวะต่างๆ หรืออื่นๆ ทีนี้อันที่ 2 เราไม่ปฏิเสธการแพทย์แผนใด เราล้างอัตตา เป็นว่า เราก็สามารถที่จะรับการแพทย์ได้ทุกแผน ที่เหมาะควรกับท่านนั้นๆ แล้วเราฉลาดด้วยนะ เราสลายอัตตาที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า จะต้องเป็นแพทย์วิถีธรรมอย่างเดียว เพราะยาเม็ดที่ 8 ของเราก็คือธรรมะที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ เราก็ไม่ใช่จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นของเราอันเดียว ไอที่พึ่งตัวเองอันเดียว บางอย่างจำเป็นต้องอาศัยการแพทย์แผนต่างๆเราก็อาศัยได้ เราไม่ได้ปฏิเสธถ้าเหมาะควร ถ้าเหมาะควรก็อาศัยได้ แล้วเรามีปัญญาที่จะเลือกด้วยว่า อะไรที่เหมาะควร แค่ไหนเหมาะควร แล้วยังใช้ปัญญาเลือกได้เพราะมีตัวชี้วัดของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ตัวชี้วัดในหลายๆสูตร สบายเบากาย มีกำลังอย่างงี้เป็นต้น นะ สุข สบาย เบากาย มีกำลัง ก็มีตัวชี้วัดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้นการที่เราเคารพจุดดีของการแพทย์ทุกแผน และก็สามารถที่จะมีปัญญาในการบูรณาการให้มันอยู่ในสภาพที่ไม่เบียดเบียน ให้อยู่ในสภาพที่เป็นประโยชน์มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน จึงทำให้เป็นการแพทย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด จริงๆแล้ว ที่เรารุ่งเรืองอยู่ได้ เจริญรุ่งเรืองไป ตามอรรถภาพของเรา เจริญรุ่งเรืองที่สุด อาจารย์ว่าไม่มีการแพทย์แผนใดเจริญรุ่งเรืองเท่านี้อีกแล้ว นี่เป็นการแพทย์ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด เพราะ พึ่งตนเองได้มากที่สุด ด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่ายที่สุด แก้ปัญหาที่ต้นเหตุจริงที่สุด และก็ รับจุดดีของการแพทย์ทุกแผนได้ มากที่สุด ไม่มีอัตตาที่จะไปชิงชังรังเกียจ รู้จักเลือกใช้อย่างเหมาะควรด้วย ว่าจะใช้แค่ไหนอย่างไร จะมีอะไรที่สมบูรณ์แบบปานนี้ ในเรื่องของการดูแลสุขภาพ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบปานนี้หรอก เพราะนี่ใช้หลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมด ใช้หลักการทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่มีใครยอดเยี่ยมกว่าพระพุทธเจ้าหลอก ในโลก เพราะฉะนั้นก็เป็น อะไรที่เราจะต้องช่วยกันนะ ของเราเองก็ช่วยกันนะ เป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันสืบสาน กรงล้อธรรมจักร ที่เป็นประโยชน์นี้ อย่างน้อย อย่างน้อยกรงล้อธรรมจักร นี้ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้สูตรต่างๆ ใน ปริญญาโท ปริญญาเอก หรือในงานบรรยายของอาจารย์ก็ได้ อธิบายไปเป็นระยะระยะ อยู่ไปเป็นลำดับๆ มีเนื้อหาที่สมบูรณ์และก็ยังอธิบายเติมเต็มเพิ่มขึ้นไปเราได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นประโยชน์เราก็จะสืบสานสิ่งนี้ต่อไป สืบสารสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไปเท่าที่จะสืบสานได้ แต่เราก็ไม่ได้บังคับใคร เราจะทำความจริงอันนี้ออกไป มีทั้งตัวจริง มีทั้งวิชาการ สื่อสารออกไป เต็มที่ ก็ขอให้พี่น้องที่ฟังนะ ได้รับฟังนี้ที่อยู่ที่นี่ที่อยู่ทางบ้าน ที่เป็นลูกหลานพระพุทธเจ้า หรือท่านใดๆ ที่ได้รับประโยชน์จากคำสอนพระพุทธเจ้า ได้รับประโยชน์จากการ แพทย์วิถีพุทธ การแพทย์วิถีธรรมนี้ ได้ช่วยการเปิดเผยข้อมูลความจริงออกไป ในสื่อต่างๆ ที่เราเปิดเผยออกไปได้ สื่อสารของเราเองนั่นแหละ นะ สื่อสารของเราเอง พี่น้องมีเฟส มีอะไร อะไร ของพี่น้อง มีเฟส มีไลน์ มีอะไรๆ ต่างๆ มีสื่อสารอะไรของพี่น้องทางไหน ๆ ก็สื่อสารออกไปให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ขอให้แต่ละท่านได้สื่อสารข้อมูลออกไปให้ได้มาที่สุดเท่าที่จะทำได้ นะว่าสิ่งใดสิ่งใดมีประโยชน์อย่างใดอย่างใด สื่อสารออกไปเต็มที่เลย ไม่ได้ต้องยั้งมือ สื่อสารออกไปเต็มที่เลย ตามความจริง อย่าโกหก โกหก ไม่เอา เราไม่ใช่เฟคนิว เราไม่ใช่เฟคนิว เราไม่ได้โกหก สื่อสารความจริงออกไปเลย สื่อของแพทย์วิถีธรรมเราก็สื่อออกไป สื่อของพี่น้องเราก็สื่อออกไป ทางเฟส ทางไลน์ ทางยูทูป ทางไหนๆ ขอให้เป็นความจริง สื่อความจริงออกไปเลย แต่อย่าไปด่าคนโน้นคนนี้ อย่าไปด่ากัน มันทะเลาะกันป่าวๆ อย่าไปด่ากัน ให้สื่อสารความจริงออกไปเท่านั้น อันนี้เป็นประโยชน์อย่างนี้ หรือจะติติงก็พอสมควรแต่อย่าไปด่ากันหยาบๆ ไม่ดี ถ้าจะติติงแง่นั้นเชิงนี้ก็เอาพอประมาณ เอาพอสมควร พอไม่ทะลาะกัน ติติงสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรก็ติติง เท่าที่พอเหมาะพอดี อย่าไปถึงกับด่ากันแรง จนทะเลาะเบาะแว้งกัน โอ้โห จนเป็นเรื่องเป็นราวกัน มันไม่ดี จนแค้นกัน อย่างเงี้ย มันไม่ดี อย่าให้วิวาทะ อย่าให้แค้นกัน แต่ปารับปาวาทะ ปรับปวาทะได้ ปรับความเข้าใจได้ ให้อยู่ขีดปรปวาทะ ให้อยู่ในขีด ปวปวาทะ คือปรับปวาทะ คือหมายความว่า ปรับความเข้าใจที่ผิดให้เป็นความเข้าใจที่ถูก หรือติติงกันตามสมควร ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ติในสิ่งที่ควรติ ชมในสิ่งที่ควรชม ตามสมควร ที่ไม่ถึงขั้น วิวาทะ อย่าวิวาทกัน ไม่เอา ถ้าวิวาทะแล้วเลิกเลย อย่าวิวาทกัน ไม่เอา อย่าไปวิวาทกัน เราไม่เอาในสิ่งขีดถึงขั้นวิวาท วิวาทะ วิวาทกัน ชิงชังกันมากมาย ไม่เอา พอ ไม่ถึงขั้นวิวาทกัน ก็เปิดเผยข้อมูลออกไปเต็มที่ นี่ก็ส่งข่าวถึงพี่น้องเรา ให้ส่งข้อมูลออกไปเต็มที่ให้สังคมได้รับรู้ ว่า มาปฏิบัติแบบนี้แล้วเกิดประโยชน์ อย่างไรๆๆ ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแง่ไหนเชิงไหน เกิดประโยชน์อย่างไร เปิดเผยออกไปเต็มที่เลย นี่เป็นการช่วยสืบสานศาสนา ผู้ที่มีปัญญาก็จะรู้ได้ ว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์จริง ก็จะเอาไปใช้ประโยชน์เมื่อถึงเวลาอันควร เมื่อเหตุปัจจัยของท่านนั้นๆเต็มรอบ ก็จะเอาไปใช้ประโยชน์ นี้คือสัจจะอย่างเงี้ย นะ แต่อย่าไปลงแหม ความคิดเห็นด่ากันอย่างโง้นอย่างงี้ ในข้อคิดเห็นแล้วก็ด่ากันแหลก ไม่เอานะ ไม่เอา แพทย์วิถีธรรมเราอย่าไปทำอย่างงั้น ลูกหลานพระพุทธเจ้า อย่าไปทำอย่างงั้น ถ้าจะวิพากวิจารณ์ จะติติงกัน ก็ใช้ภาษาที่เหมาะควร ตามสมควร นะ ตามสมควร ติในสิ่งที่ควรติ ชมในสิ่งที่ควรชม แต่อย่าให้ถึงขั้นวิวาทกัน ให้เหมาะควรแล้วเสนอเน้น เสนอประโยชน์ มากกว่าเสนอว่า ทำแบบนี้เป็นประโยชน์อย่างไร แต่เดิมชีวิตเราเป็นอย่างไร มาปฏิบัติอย่างนี้แล้วเราได้รับประโยชน์อย่างไร เราก็เสนอความจริงออกไปๆๆ เท่านี้แหละ แล้วก็ไม่ไปกดดันใคร ว่าต้องปฏิบัติ เราอย่าไปกดดันใครว่าต้องปฏิบัติ อันนี้สำคัญนะ ของพระพุทธเจ้า ไม่กดดันใคร ว่าต้องปฏิบัติ ไม่กดดัน ไม่ผลักดัน เสนอความจริงอย่างเดียว เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง เท่านั้น ส่วนการเดินทางเป็นเรื่องของท่าน นี่ของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ เพราะนั้นเราชี้ทางอย่างเดียว เราไม่ไปกดดัน ท่านใดเหตุปัจจัยเต็มรอบก็จะทำของท่านเอง ยังไม่เต็มรอบ ท่านก็ยังไม่ทำ ก็ไม่เป็นไร ธรรมทั้งหลาย มีฉันทะเป็นมูล เมื่อใดเหตุปัจจัยเต็มรอบ มีความยินดี เต็มใจ พอใจที่จะปฏิบัติ ก็จะเอาไปปฏิบัติ ถ้ายังไม่เต็มรอบ ก็อย่าพึ่ง อย่าพึ่งปฏิบัติ เหตุปัจจัยยังไม่เต็มรอบ อย่างงี้เป็นต้น เราทำแบบสบายใจแบบนี้ นะ มันเป็นสิทธิเสรีภาพ ส่วนบุคคล นะ เป็นสิทธิเสรีภาพของคน ที่จะปฏิบัติ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม มันต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ในสิ่งที่เราปฏิบัติและเผยแพร่ออกไป สิ่งใดสร้างความเดือดร้อน เราไม่เผยแพร่ออกไป มันเป็นบาป เป็นโทษเป็นภัย ต้องเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์มีหลักฐาน มีความจริงว่าเป็นประโยชน์ก็เผยแพร่ออกไป ต้องเอาแต่สิ่งที่ เป็นประโยชน์มีหลักฐานมีความจริง ก็เผยแพร่ออกไป ไม่ต้องกลัวอะไรถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ๆๆ แล้วเราก็ไม่บังคับใครว่าจะทำหรือไม่ทำ ไม่กดดัน ไม่ผลักดัน ไม่บังคับ ท่านใดจะเอาไปใช้แค่ไหนอย่างไร ตามสิทธิของแต่ละท่านๆ ตามวิจารณญาณของแต่ละท่าน นี่คือหน้าที่ของ พวธ, เราก็ไม่ได้ไปผลักดันแม้แต่หน่วยราชการ ว่าต้องเอาๆ แม้เราจะเห็นว่าดี กระทรวงสาธารณสุขควรเอาด้วยซ้ำ แต่เราก็ไม่ผลักดัน แต่เราก็ไม่ผลักดัน ว่า กระทรวงสาธารณสุขต้องเอาๆๆๆ ไม่ๆๆๆๆ เราก็ไม่ผลักดัน หรือหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ ต้องเอาๆๆ  ไม่เราก็ไม่ผลักดัน หรือบุคคลนั้นบุคคลนี้ต้องเอาๆๆๆๆ ไม่ ไม่ผลักดัน ไม่ผลักดัน ใดๆทั้งสิ้น ไม่กดดัน ไม่ผลักดัน เปิดเผยความจริงอย่างเดียว เหตุปัจจัยเต็มรอบ ได้แค่ไหน ก็แค่นั้น หน่วยงานไหน พร้อมจะใช้ ตอนไหน บุคคลไหน หน่วยงานไหน พร้อมจะใช้ตอนไหน ท่านก็ใช้ไปตามเหตุปัจจัย ของแต่ละท่านๆ ที่พร้อม เท่านั้น ท่านใดยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้อง ท่านสบายใจได้เลย เราไม่กดดัน เราไม่ผลักดันแน่นอน เราเป็นลูกหลานพระพุทธเจ้า ใช้ทฤษฎีนี้ เราปราถนาดี ส่งข้อมูลที่ดีๆออกไปแล้วไม่สร้างความเดือดร้อนใจให้ใคร ไม่สร้างความเดือดร้อนใจด้วยการกดดัน ผลักดันทั้งสิ้น เราไม่ทำ ยกเว้น ท่านไม่รู้ ท่านไหนก็แล้วแต่นะ ไม่ยกเว้นว่า ท่านไปออกกฏหมาย ออกกฏระเบียบ มาฤทธิ์รอน สิทธิเสรีภาพของเรา เกินพอดี ไม่ให้เราทำสิ่งนี้ที่เราเห็นว่าดีนี้ ไม่ให้เราทำไม่ให้เราเปิดเผยออกไปในสื่อต่างๆ อย่างงี้เป็นต้นนะ ถ้าไปออกกฏหมายว่าไม่ให้เราทำ ไม่ให้เราเปิดเผยตามสื่อต่างๆของเรา อันนี้เราก็จำเป็นจะต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพอันเหมาะควร อันเป็นประโยชน์ต่อเรา และต่อลูกหลานพระพุทธเจ้านะ อันนี้เราก็จำเป็นจะต้องไปเดินขบวน อันนี้ก็จำเป็น อันนี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องทำ ถ้าเราเจอสภาพนั้นเข้า ถ้าท่านมาฤทธิ์รอนสิทธิเสรีภาพ อันเป็นประโยชน์ นี้ของเรา แล้วของลูกหลานพระพุทธเจ้าที่จะได้รับประโยชน์ ของมนุษยชาติ ที่จะได้รับประโยชน์อันนี้ เป็นความจำนน อันนี้เราก็จำเป็นจะต้องไปเดินขบวน มันไม่มีวิธีอื่น ที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่อย่างผาสุกได้ ก็ในเมื่อสิทธิเสรีภาพของเราถูกฤทธิ์รอน อันนี้เรายืนยันเราไปแน่นอน ถ้าเราถูกฤทธิ์รอนสิทธิเสรีภาพอย่างไม่ยุติธรรม อย่างไม่เหมาะควร อย่างน้อย เราจะน่าจะมีสิทธิเสรีภาพเท่ากันกับเหล้ากับบุหรี่ก็ยังดี ใช่ไหม วิธีการของแพทย์วิถีธรรมเรา อย่างน้อย จะให้เราเสื่อมเราต่ำ อย่างน้อยหาว่าเราไม่ดี เราก็ขอแหม มีสิทธิเสรีภาพเท่ากับเหล้ากับบุหรี่ก็ยังดีเนาะเอ้า เหล้าก็ยังให้ออกทีวีได้นี่ โฆษณาได้นี่ อะไรได้นี่ บุหรี่ก็ยัง ได้นี่ อะไรก็แล้วแต่ ไม่รู้ เหล้าบุหรี่อะไรก็ยังขายได้ ทำอะไรได้ก็เผยแพร่ได้ เยอะแยะไปหมด แต่ว่าเราไม่น่าจะเกรดต่ำขนาดนั้นนะ อันนั้นมันก็ พูดอะไรไม่ได้หลายเรื่อง เอ้าก็เล่าไปนะ อย่างน้อยก็ เหล้าบุหรี่ อะไรอะไรต่างๆ ไอตัวเป็นพิษเยอะแยะไปหมด ก็ยังมีอย ด้วยซ้ำ มีอะไรอะไรก็ไม่รู้ มีเครื่องรับรองอะไรเยอะแยะไปหมดเลย อันนั้นก็ยังมี รับรองได้ ตั้งเยอะตั้งแยะ วิจัยชัดๆว่าเป็นโทษ แต่ของเราไม่มีงานวิจัยว่าเป็นโทษ แต่มีงานวิจัยว่าเป็นประโยชน์ ก็เผยแพร่ไม่ได้หรือไง ให้เราได้ใช้ให้คนที่มีบุญกุศลร่วมกันได้ใช้ เราขอแค่นี้แหละ ไม่ได้ทุกท่านหรอก เราก็รู้ ในประเทศไทย ไม่ใช่ว่าเราจะไปเผยแพร่ไปช่วยได้ทุกท่านทุกหน่วยงานหรอก เราก็รู้อยู่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ได้เท่าไหร่เราก็เอาเท่านั้น มีลูกหลานพระพุทธเจ้าที่เคารพศรัทธาทางนี้อยู่เท่าไหร่ เราก็ช่วยเท่านั้น คนส่วนน้อยไม่ต้องไปกังวลหรอก เรามันคนส่วนน้อยของสังคม เราไม่ใช่คนส่วนใหญ่หรอก คนส่วนน้อยของสังคม ก็ขอมีสิทธิเสรีภาพหน่อย นะ อย่างงี้เป็นต้นนะ ก็น่าจะมีสิทธิเสรีภาพ นะเพราะว่าเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไร นะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้ามันมีข้อมูลว่าเดือดร้อนก็เอามาซี่ มีข้อมูลว่าสร้างความเดือดร้อนมากเหลือเกิน ก็มาดูสัดส่วนที่ ระหว่างประโยชน์กับความเดือดร้อนเนี่ย อะไรเยอะกว่า เพราะการแพย์พูดถึงการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ถามว่า มีผู้ที่ได้ประโยชน์ก็ไม่น้อยใช่ไหม แต่ในขณะเดียวกัน คนเดือดร้อนไหมหละ จากผลข้างเคียง ก็มีใช่ไหม ก็ยังใช้ได้ใช่ไหม หรือการแพทย์แผนต่างๆก็ตาม ก็ยังใช้ได้ใช่ไหม ของเรามีผลข้างเคียงกว่านั้นอีกใช้ไม่ได้หรือไง ของเราผลข้างเคียงน้อยกว่านะ ตรวจสอบได้เลย ตรวจสอบได้เลย ของเราผลข้างเคียงน้อยกว่า ผลข้างเคียงน้อยวกว่า แล้วก็ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์ด้วย 90% ผลข้างเคียงก็น้อยกว่า จะมาขัดขวางวิชาการแพทย์ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า มันจะถูกหรือ น่าจะไปบูรณาการณ์ร่วมกันมากกว่า ๆ มากกว่าที่จะขัดขวาง น่าจะส่งเสริมมากกว่า น่าจะดีกว่า น่าจะเป็นบุญกุศลมากกว่า มากกว่าที่จะ เออ คัดค้าน ขัดขวาง นะ ร่วมกันเก็บข้อมูล ร่วมกันส่งเสริมสิ่งที่ดี บูรณาการณ์ร่วมกัน น่าจะดีกว่า น่าจะดีกว่า เพราะการแพทย์แผนต่างๆก็มีสิ่งดีอยู่ เลือกใช้ให้เหมาะสม บูรณาการณ์ให้เหมาะสม ดีที่สุดแหละ อาจารย์คิดว่าเป็นอย่างงั้น เพราะฉะนั้น เราก็นี่แหละคือความจริงของชิวิตเรา เราก็เปิดเผยความจริงเท่าที่เหมาะควร เท่าที่เรามีกำลังนี่แหละ เปิดเผยความจริงอย่างเดียว เราก็ไม่อย่างอื่น ไม่กดดันใคร อย่างงี้เป็นต้นนะ เราก็จะไม่กดดันใคร ยกเว้น เราถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพ เราก็ขอเรียกร้องสิทธิเสรีภาพหน่อย ถ้าเราถูกฤทธิ์รอนสิทธิเสรีภาพเกินเหมาะควร อันนั้นเราก็ต้องเรียกร้อง อาจจะต้อง เรียกร้องตามสมควร นะ ก็วิธีเราก็บอกไว้เท่านี้แหละ วิธีของเราไม่มีอะไรมาก มีวิธีเดียว ประท้วง มีแค่นี้ ไม่ได้มีอะไรกว่านั้น ประท้วงด้วยความสงบด้วยนะ สันติ อหังสา ปราศจากอาวุธ แต่พวกเราประท้วงมันยาวหน่อย เท่านั้นแหละ ไปที่ไหนที่ไหน อยู่กี่ปีก็อยู่ได้ พวกเรามันมนุษย์พันธ์พิเศษอยู่ได้นาน ยาวนาน นานเท่าไหร่ก็ได้ นะ เราเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษเท่านั้นเอง นี้ไม่ใช่เรื่องการขู่การอะไรนะ เป็นการเล่าความจริงให้ฟัง ไม่ได้ไปขู่ ไม่ได้ไปอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเจตนา ที่จะไปขู่ อะไรๆต่างๆทั้งสิ้น ไม่ใช่แต่เราเล่าความจริงของชีวิตเราว่าเราเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องอย่างงี้ ก็เหมือนประเทศไทย ถ้าใครจะมารุกราน ยังร้องเพลง เราถอยไม่ได้อีกแล้ว เอ้า ประเทศไทย ยังถอยไม่ได้อีกแล้ว เราถอยไม่ได้ แม้แต่ก้าวเดียว ว่างั้นแล้ว ตกทะเลเลยนะ ไม่มีที่อยู่แล้ว คนไทยใครมารุกรานเรา เราก็ตกทะเลตายเท่านั้นแหละ ถ้าจะให้เราถอยไปอีก ก็จมทะเลตายเท่านั้นแหละ เราก็เหมือนกันเราก็อยู่ในประเทศไทย รุกรานเราจนไม่มีที่อยู่ทำไง จมทะเลตาย เราก็ต้อง ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราช จะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติ พลี เถลิงประเทศ ชาติไทย ทวี มีชัย ไชโย เราก็ต้องร้องเพลง ชาติไทย เท่านั้น เรารักสงบแล้วเราก็อยู่ของเรา แต่ใครอย่ามารบกับเรา ใครมารบกับเรา เราก็ไม่รบกับคุณหรอก แต่เราพร้อมปกป้องสิทธิเสรีภาพของเราหน่อย เท่านั้นเอง นี่ก็เล่าความจริงให้ฟังอย่างเงี้ย ก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ได้ ต้องมาล้ำเส้น กันเกินไป ต้องมายุ่ง กันเกินไป มาล้ำเส้นเกินไป ท่านจะเอาไม่เอาเราไม่มีปัญหาหรอก ท่านจะเอาไปใช้ในระบบราชการ หรือไม่ ใครจะเอาไปใช้กับประชาชนหรือไม่ เราไม่มีปัญหา เราไม่ เราไม่ไป ก้าวก่ายเรื่องนั้น ไม่มีปัญหา ขอแค่สิทธิเสรีภาพของเราได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเราและต่อโลก ให้เราได้มีชีวิตอยู่รอด ต่อเราและต่อคนในโลก ที่มีบุญกุศลร่วมกันกับเรา เคารพศรัทธาเราและเขาก็ได้ประโยชน์จริงๆ ปัญหาในชีวิตเขาลดลง ประเมินเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ปัญหาด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านเหตุการณ์ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ลดลงเป็นส่วนใหญ่ เราก็โอเค ให้เราทำในสิ่งที่เป็นบาปเราก็ไม่เอา ชีวิตมีความเป็นอยู่ผาสุกมากขึ้นเราก็เอา นี่คือเป้าหมายของเรา แต่แน่นอนมีเอเรอร์บ้าง แน่นอนสัก 10 % ท่านที่ไม่ดีขึ้น ท่านที่ทำแล้วมีปัญหาโน้นนี้ มันก็ธรรมดา มันไม่ได้ร้อยเปอเซนต์หรอก แต่ได้ 90% เราก็พอใจ 90% เนี่ยก็ถือว่าการแพทย์แผนใดๆในโลกก็ทำไม่ได้แล้วหละ ในขณะนี้เรายังไม่พบเลย การแพทย์แผนใดทำให้คนได้รับ มีสุขภาพดีได้ 90% เราก็ยังไม่พบนะ แต่ของแพทย์วิถีธรรม เราทำได้แล้ว นะครับ อย่างงี้เป็นต้น เราก็เปิดเผยความจริงอย่างงี้ ไม่ได้อ้อมค้อมอะไร ก็เล่าความจริงใจ อย่างเงี้ย ชีวิต ก็มีความจริงใจอยู่อย่างงี้ นะ ก็เปิดเผยความจริงออกไป ไม่ได้อ้อมค้อมอะไร ชีวิตก็มีอยู่อย่างนี้เท่านี้ ก็มาดูมาประสานงานได้ตลอดเวลา มาเรียนรู้ต่างๆได้ โอเค เอาหละ เนาะ อาจารย์ก็ โอ้โห กะว่าจะกล่าวเสริมซักหน่อยนึง ก็เลยกล่าวเสริมหลายหน่อยเลยนะ ก็คิดว่ามันเป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกันนะ อาจารย์ว่าเป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกันกับ ทีมเราที่บรรยายออกไป เมื่อกี้นะ สื่อสารกัน ดูแลสุขภาพ อะไรอะไรต่างๆออกไป ทีมวิพากษ์ด้วยอาจารย์ก็เลยคิดว่า เป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกัน ถ้าไม่บรรยายต่อเนื่องมันก็จะมันก็จะรู้สึกขาดตอนนะ ขาดตอนเนื้อหา อาจารย์ก็เลย บรรยาย พิเศษ อะไรนะ วิพากษ์พิเศษ หึๆๆ วิพากษ์พิเศษ ต่อเนื่องไป นะ สืบเนื่องกันไป ก็เอ้าเดี๋ยวเราจะพักกันซักประมาณ 15 นาที นะแล้วค่อยมาเรียนรู้กันต่อครับ สาธุ เอ้าขอบคุณทุกท่าน ……..