น้ำปัสสาวะรักษาแผลเบาหวาน ไม่ต้องตัดขา : ฐาปนี
แผลเบาหวาน (Diabetic)
เรามาฟังอีกเรื่องนึงที่น่าสนใจเรื่องเกี่ยวกับแผลนะคะ ก็ส่วนใหญ่คนที่หลังๆนะคะ ก็อาจจะแบบว่าต้องเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตเนี่ยค่ะ ก็จะมักเป็นผู้ป่วยเบาหวานนะคะ ซึ่งจะมีแผลซึ่งหายช้านะคะ สุดท้ายก็ถูกใช้วิธีการรักษาโดยการตัดอวัยวะค่ะ คุณภูเพียรธรรมจะเป็นตัวแทน พี่ฐาปนีนะคะ มาเล่าให้ฟังค่ะ เชิญค่ะ
ค่ะ ทดสอบ ก็ขอโอกาสเป็นตัวแทนของกรณีศึกษารายนี้ ก็คือ คุณ ฐาปนี เป็นแม่บ้าน มีอาชีพค้าขาย ส่วนผู้ป่วยท่านก็คือ อย่างที่บอก เป็นพยาบาลจำเป็น ส่วนผู้ป่วยก็คือ คุณพ่อบ้าน มีอาชีพรับราชการนะคะ อายุ 60 ใกล้กเษียณแล้วคะ คือพ่อบ้านเป็นประวัติการเจ็บป่วย เป็นเบาหวาน เป็นอย่างเดียว อันนี้ที่คุยเป็นตัวแทนก็คือ เป็นตัวแทนของคุณฐาปนี คุณแม่บ้านท่านเดียวที่ได้พูดคุย ด้วยตัวท่านมาเข้าค่ายไม่ได้ แล้วก็อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ดีๆเป็นการบอกต่อ จากประสบการณ์ตัวเอง นี้ถ้าได้คุยก็คือ จากคุณแม่บ้านเนี่ยค่ะ ก็ดูแลพ่อบ้านนะคะ ด้วยใช้องค์ความรู้แพทย์วิถีธรรม เนื่องจากคุณพ่อบ้านเป็นเบาหวานมาสิบกว่าปีแล้ว ด้วยการรักษาที่ผ่านมา รักษาแผนปัจจุบัน กินยาจนต้องฉีดยา เพราะน้ำตาลขึ้นสูงถึง 300 ต้องฉีดยา อยู่มาวันนึงด้วยคุณแม่บ้านเป็นผู้ใส่ใจดูแลสุขภาพ ก็มีโอกาสได้รู้ข้อมูลแพทย์วิถีธรรมจากเพื่อนแนะนำ ติดตามยูทูปประมาณปีกว่า สนใจก็มาเข้าค่ายที่ชะอวด ท่านเป็นคนสุราษฎร์ธานี ก็พาพ่อบ้านมาด้วย เหตุเนี่ยไม่ใช่คุณพ่อบ้านมีความประสงค์แต่คุณแม่บ้านได้ชวนมา เมื่อมาในค่าย เป็นแผลเบาหวานอยู่แล้ว จากช่วงเท้าเป็นแผล มาในค่าย จิตอาสาแนะนำ ก็ได้ไปแช่ฉี่ ในค่ายสวน 2 นะ ถ้าใครอยู่ในเหตุการณ์ ก็คงจะทราบ แช่ฉี่ก็บอกว่า แผลดีขึ้น แต่กลับไปเนี่ย ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเนื่องสิ่งที่ทำประจำ ได้ก็คือ การสวนล้างลำไส้ใหญ่ วันละครั้งนะคะ ที่คุณพ่อบ้านทำ อยู่ในค่ายนี้ดีขึ้นเพราะปฏิบัติตามค่ายจัดไว้ให้ ก่อนหน้านี่ จะมาเข้าค่ายได้เข้าโรงพยาบาลไปรักษาแผลเป็นประจำ แต่แค่ครั้งเดียวมั๊ง หลังจากนั้นออกไป ก็ใช้ชีวิตปกติ ที่ทำก็คือ แค่ สวนล้างลำไส้ใหญ่ ดีทอกซ์
จนวันนึง แผลน้ำตาลขึ้นสูง 400 ได้เข้าโรงพยาบาล ไปรักษาแผลเขาก็จะมีแผลที่ส้นเท้าก่อนแล้วมันก็ลาม เมื่อลาม เมื่อเข้าโรงพยาบาล โรงพยาบาลเขาจะมีการรักษาแบบนี้ ก็จะล้างแผล คุณแม่บ้านก็เล่าว่า ต้องผ่าตัด แล้วก็แต่งแผลอยู่ 3 ครั้งเนี่ยค่ะ ก็คือ ตกแต่งแผลก็คือ ผ่าตัดแล้วก็ทำการล้างแผลตามกรรมวิธีของแพทย์แผนปัจจุบันเขา จนครั้งที่ 4
คุณแม่บ้าน ก็รู้สึกแบบ ไม่อยากตัดขา มันต้องมีทางเลือก ค่ะ คุณแม่บ้านศรัทธาในศาตร์การแพทย์ทางเลือก ด้วยได้รับคำแนะนำ จากพี่น้องจิตอาสาที่มาเข้าค่ายใช่ไหมคะ ว่าสามารถใช้วิธีทางเลือกได้แล้วก็เห็นผลต่อการปฏิบัติ จากผู้เข้าค่าย มากมายหลายเคสนะคะ ว่าคนอื่นเขายังเป็นหนักกว่าเคสนี้เลยนะคะ แล้วก็ ก็เลยเชื่อว่า ตอนที่หมอบอกจะผ่าตัดแล้วเนี่ย ต้องตัดขา ท่านก็เลยตัดสินใจ ใช้น้ำปัสสาวะ คุณฐาปนีเล่าให้ฟังว่า ปกติ พยาบาลเขาก็จะล้างแผล เขาก็จะผ่าตัดออกมาแล้วก็ทำหน้าที่ มาล้างแผลเช้าเย็น เขาก็ใช้น้ำเกลือล้างแล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อต สำลี ทำอย่างนี้ไปมา 3 ครั้งจนอาจจะไม่ไหวแล้ว ทางการรักษาเขาบอกว่าต้องตัดขาละ ทีนี้ แล้วก็ทั้งผู้ป่วยเอง มีญาติมาเยี่ยม เพื่อนมาเยี่ยม ทุกคนก็ต้องบอกว่า อย่างงี้ก็ต้องตัดขา ผู้ป่วยก็รู้สึกหดหู่ ผู้ดูแลด้วย ผู้ดูแลจะเชื่อมั่นว่ามันมีทางเลือก ไม่ต้องตัดขา ด้วยเคารพศรัทธาวิธีนี้
พอครั้งที่ 4 บอกตั้งตัดขาละ เขาเลยได้ตัดสินใจ เอาน้ำปัสสาวะเนี่ยค่ะ มาล้างแผล ต้องเล่าให้ฟัง พอพยาบาลทำแผลเสร็จกลับไป เขาก็แกะออกเลย แกะผ้าพันแผลออก ทำการล้างใหม่ ล้างด้วยน้ำปัสสาวะ ของทั้งตัวผู้ป่วยเอง และของทางคุณแม่บ้านเอง เอาสองท่าน รวมกัน แล้วก็ล้าง เขาเล่าว่า ฉี่ตอนที่เอามาล้างเนี่ยค่ะ คืออยู่โรงพยาบาลไม่ได้กินข้าว กินทางสายยางก็คือ โรงพยาบาลให้น้ำเกลือ อย่างเดียวฉะนั้น ฉี่จะใส ไม่มีกลิ่น ถ้าฉี่พ่อบ้านมีกลิ่นเนี่ยจะไม่ใช้เมื่อกลับมาบ้านแล้ว เขาก็ใช้ของเขารวมกัน เนี่ยค่ะ ใช้วิธีการฉีดล้างแล้วก็พันแผลเหมือนเดิม ฉะนั้นทางโรงพยาบาลจะไม่รู้ ว่าเขาได้ทำการเปลี่ยนการทำแผล โรงพยบาลเขาล้างด้วยน้ำเกลือ ถามรายละเอียดเลยว่าเขาทำยังไง เพราะฉะนั้นโรงพยาบาลจะไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้วยการใช้น้ำฉี่เอง เพราะทำอย่างนี้อยู่ 22 วัน ถึงจะกลับไปดูแลต่อที่บ้าน ภาพที่เราเห็นกันนี่เป็นภาพที่บ้านนะคะ เขาก็บอกว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาลเนี่ย แผลมันจะแห้งดีมากเลย หมอมาดูก็บอกว่า เช้า กลางวัน เย็นเนี่ย โอ้โห แผลแห้งดีมากเลย หมอก็เลยงง งง จากที่เคส อื่นๆเคสนี้ทำไมมันแห้งเร็ว คนที่อยู่เตียงรอบข้างก็จะเห็นว่าทำแบบนี้ แต่หมอพยาบาลไม่รู้นะคะ ก็ทำอย่างงี้จนกลับมาบ้านเนี่ยค่ะ มันจะเป็นจากส้นเท้าแล้วก็ลามมาที่ตาตุ่มแล้วเนี่ยก็ทำมาเรื่อยๆ ทำมาอยู่สุดท้ายหายเนี่ย ที่เขาใช้คือสี่เดือนครึ่ง แล้วนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานเอง ถามเขาวันแรกที่เริ่มก็คือ 13 เมษายน ฉลองปีใหม่ นะคะก็เริ่มเป็นวันแรกที่จะไปเข้าโรงพยาบาล เพราะว่าน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง 400 ก็เลยต้องเข้าไปรับการผ่าตัด แล้วก็ตกแต่งแผล ทำอยู่ 3 ครั้งจนบอกว่า ครั้งที่ 4 เนี่ย คงไม่ไหวแล้ว ต้องตัดสินใจเอาน้ำปัสสาวะมาใช้ค่ะ นี้ก็ได้เห็นผลว่า เมื่อกลับมาแล้ว เนี่ยค่ะ ก็ดูแลอยู่ 4 เดือนครึ่งทีนี้จะเห็นว่าถ้าจากประสบการณ์ของพี่น้องที่เล่านะคะ หลายท่านจะเห็นว่าหายได้เร็วมาเลย เพราะอันนี้เป็นพี่น้องที่ปฏิบัติ 9 ข้อเคร่ง ถือว่าเคร่งในการดูแลสุขภาพนะคะ แต่มันเป็นทิศทางที่ถูก ก็แต่ว่าในตรงเนี้ยค่ะ คือจะเล่าการปฏิบัติของสองท่านนะคะ ที่สอบถามมาก็คือ ตัวคุณพ่อบ้านเนี่ย ในส่วนอารมณ์จิตใจ คุณพ่อบ้านเป็นคนจิตใจดี อารมณ์เย็น ที่บอก แต่ความหดหู่ ซึมเศร้า กังวล มีนะคะ จากตอนที่ก่อนจะถูกตัดขา เพราะจะถูกพูดว่าจะต้องโดนตัดขา เพราะฉะนั้นกำลังใจอาจจะไม่มีก็เลยดูซึมเศร้า ช่วงก่อนที่แผลจะดีขึ้น ช่วงระหว่างรักษา ก็เหมือนเป็นผู้ป่วยท่านนึง เดินไม่ได้ก็นั่งกิน นอนแล้ว ก็ดูไลน์ อ่านหนังสือ ยูทูป หรืออะไรเนี้ยค่ะ ดูไป ฟังอาจารย์หมอเขียวนะคะ ถ้าข้อมูลเกินนี้ต้องขออภัยนะคะ
ก็ในส่วนนี้ก็ทำไป ส่วนอาหารเนี่ยค่ะ ท่านยังกินปกตินะคะ ก็คุณแม่บ้านบอกว่าจัดให้ตามที่อยากกิน ก็ยังมีข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง จัดให้ เพราะว้าถ้าไม่จัดให้ ก็อาจจะโดนบ่น คุณแม่บ้านตัดความรำคาญเพราะว่าตัวเองเป็นคนขี้รำคาญนะคะ ก็เลยจัดให้ ส่วนคุณแม่บ้านเนี่ยกินมังสวิรัติ ปฏิบัติตัวเองเคร่งครัด ออกกำลังกาย เดินเร็ว วิ่งเร็ว งั้นฉี่ตัวเองก็จะดี ก็จะเอาให้ไปร่วมกันกับคุณพ่อบ้าน เพราะว่าคุณพ่อบ้านวันไหนถ้ากินของไม่ดี ฉี่ก็จะมีกลิ่น ก็จะไม่เอามาใช้ อันนี้ก็จะบอกได้ นะคะว่า เป็นยังไง แต่อารมณ์ ร้อน ไม่มี คนที่เร่งผล กลัว กังวลคือใครคะ คุณแม่บ้าน คุณแม่บ้านมีอยากให้หายเร็วๆ เร่งผล แต่คุณพ่อบ้านไม่มี ก็นอนไปสิ สบาย ได้พักผ่อน ก็เลยไม่ได้ไปทำงาน ตอนนี้ก็พึ่งเริ่มหัดเดิน ก็เดินได้ ค่ะ คุณพ่อบ้านยอมใช้ฉี่ ใช้ฉี่ของคุณแม่บ้านเอง แต่ดื่มนี่ไม่ดื่ม คุณพ่อบ้านไม่ได้ทำอะไรเลย เกี่ยวกับการดื่มฉี่ คือได้เห็นนะคะว่า รายนี้เนี่ย ตัวผู้ป่วยเองเนี่ย ใช้ปัสสาวะเฉพาะภายนอกเท่านั้นแล้วก็ใช้เฉพาะรักษาแผล ทาแผล ล้างแผล เท่านั้น ส่วนการปฏิบัติภายในเนี่ย ยังเป็นปกติ แต่ว่าโอเค ลดละเลิก การกินเนื้อสัตว์น้อยลง กินตามที่ ทางผู้ดูแลจัดไว้ให้ เท่าที่จะทำได้อย่างผาสุกของท่านนะคะ จิตใจก็คงทำไป แต่ส่วนคุณแม่บ้านเนี่ย ก็ใส่ใจดูแลสุขภาพเต็มที่ ก็ทำเต็มที่ นะคะ ในส่วนนี้ ที่คุณแม่บ้านมั่นใจว่ามีทางเลือกเพราะว่า ถ้าดูในเล่า จะมีเห็นนิ้วถูกตัดไปเนี่ย คุณแม่บ้านก็บอกว่า จริงแล้วมันเป็นแผล คือแม่บ้านเนี่ยมีประสบการณ์ว่า ใช้สมุนไพร ค่ะ คือใช้ ปูนแดง หมักปูนแดงเนี่ย ปูนกินหมากสิเนอะ สีแดง ไปเผา จนเป็นสีขาว แล้วก็เอามาทาเช้าเย็น แผลก็ดีแห้ง แต่ปรากฏว่ามันจะมีกระดูกยื่นออกมาให้เห็น จากที่แผลแห้งแล้ว เนื้อมันได้แค่นั้น คุณแม่บ้านก็เลย ตัด หักกระดูกเอง มันก็เลยเหมือนว่านิ้วหาย ทีนี้ นิ้วมันเหมือนหายไปนิ้วนึง เมื่อคุณแม่บ้านมั่นใจว่ามีแพทย์พื้นบ้านทำได้ จะต้องมีแพทย์ทางเลือกที่ไม่ต้องถูกตัดขา เพราะปัจจุบันจะบอกว่าตัดขาอย่างเดียว ตัดแล้วเขาก็รู้ว่ามันก็ต้องเป็นอีก มันก็ไม่หาย ฉะนั้นเขาก็เลยสู้ สู้นะคะ บอกว่าคุณแม่บ้านสู้ด้วยการ ตัดสินใจ ใช้น้ำปัสสาวะ ไปซื้อผ้าก๊อต ซื้อสำลีมาเอง เขาบอกว่าเขาสามารถทำแผลได้เหมือนที่พยาบาลทำ โดยที่ไม่รู้เลย เขาบอกว่างานนี้เสียค่าใช้จ่ายไป 4000 บาทในการซื้อผ้าก๊อตและสำลี คนอื่นเสียเท่าไหร่
แต่จริงๆช่วงที่ท่านอยู่โรงพยาบาลและคุณแม่บ้านทำแผลให้ ท่านไม่ได้ทานอาหารเนื้อสัตว์ เพราะฉะนั้นปัสสาวะ ท่านก็เลยมีส่วน ผู้ขึ้นเวทีทุกคนตรงนี้ ก็คือเล่าประสบการณ์ในช่วงที่ ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์นะคะ ของพี่มัน ก็คือ คุณ สนทยาก็คือมี แต่ช่วงนั้นก็ทานไม่ได้ ช่วงนั้นก็คืออยู่ช่วงระหว่าง ลด ลด เลิก นะคะ เป็นไปได้เหมือนกันนะคะ ปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพ อาจจะคู่กับการที่ไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ก็ได้นะคะ มีทำกุศล ไม่รู้นะคะ ต้องศึกษากันต่อไป
จากที่นั่งฟัง พี่น้องเล่ากันมาใช่ไหม เคสก็มีมาเป็นลำดับแต่ว่า ส่วนใหญ่หายกันได้เร็วประมาณ 1-2 เดือน ใช่ไหมคะ ของมันก็คือ 4 เดือน เมื่อจับหลักได้ แต่อย่างเคสเนี่ย ถ้าโดยตัวของท่านผู้ป่วยเอง ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมากมาย ในการใช้ยา 9 เม็ด
แต่ว่า พยาบาลดูแลให้เต็มที่ แล้วท่านก็ไม่ คงไม่ได้ดื้อ ต้องรักษาแผลภายนอก จากแผลสดๆที่เราดูน่ากลัวมาก ถ้าคนภายนอกเขาก็ต้องบอกว่า ตัดขาเถอะ แล้วต้องไปคว้านแผล อ๋อ มันมีสิ่งหนึ่งที่เขาบอก พอใช้ฉี่มันจะแห้งเร็ว แล้วมันจะเห็นสีเหลืองๆ อันนั้นมันก็คือ เหมือนเนื้อมันเริ่มแห้ง เนื้อตายที่มันจะรอ พอตอนที่คุยนะคะ เคสนี้ คนที่เป็นตัวแทน คุยได้สภาวะ หลายๆอย่างนะคะ ที่ตัวเองได้ประโยชน์ที่จะบอกว่าบทเรียนครั้งนี้ได้อะไร มันได้เห็นนะคะ เพราะผู้พูดเนี่ย มีประสบการณ์กับการเป็นแผลมา เกือบสิบปีเหมือนกัน จากที่นั่งฟังทุกท่าน เมื่อกี้ยังบอกว่า เราเป็นแค่สิบเปอร์เซนต์ของแต่ละคนเอง คือจะเห็นอย่างงี้ค่ะ ว่าตรงที่พอเราทาฉี่แห้ง มันจะเริ่มเป็นเนื้อเหลืองๆ สังเกตุแต่ละคนจะเห็นอยู่ ตัวนั้นมันก็คือจะค่อยๆ แห้ง ถ้ามันแห้งมันจะไม่ทะลุหรอก แต่พอการแพทย์เขาจะล้างแผล เขาจะขูดอันนี้ออกตลอดเลย ขูดมันก็จะ อันนี้แผลตัวเองเมื่อกี้นี้นะคะ ที่เคยเป็น อันนี้มาปีแรกค่ะ ที่เคยเป็น ขา ผู้พูดค่ะ ที่เคยเป็นประสบการณ์นี่คือลงขาแล้วนะคะ ตะก่อนเป็นที่ข้อศอก ครั้งแรก เจ็ดวันเหมือนที่พี่อรเล่า อันนี้คือการถอนพิษจริงๆแล้วพวกนี้ คืออาการพิษซ่าน ถอนพิษร้อนที่เราสะสมมาหลายปี ถอนออก ต้องบอกว่าจริงๆเราโชคดีแล้ว เหมือนเคสนี้ที่คุณแม่บ้านเขารู้สึกว่าเขาโชคดีที่เขามารู้จักศาสตร์การแพทย์วิถีธรรมไว้ก่อน มาเข้าค่ายที่ชะอวด เมื่อสิ้นปีที่แล้ว เหมือนได้รับความรู้นี้เก็บไว้ วันที่เจอทางตัน เขาเลยดึงออกมาใช้ได้ แล้วพิสูจน์ว่า 4 เดือนครึ่งที่เขาทำเนี่ย มันได้ประสบความสำเร็จ เขามีความประทับใจอย่างมาก แล้วก็อยากแบ่งปัน อยากบอกต่อ ในสิ่งนี้ ในส่วนที่เมื่อกี้บอกว่า เนื้อหนึ่ง ก็คือ ถ้าทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ยอมปล่อยไป ทาไป ล้างไป มันก็จะหายได้เร็ว แต่เนี่ย การที่ไปล้างแผล คว้านออกทุกวันๆใช่ไหม มันก็เลยมองว่าแผลหายได้ช้า เพราะตอนที่ตัวเองเป็นแผลเล็กๆน้อยๆ ไม่ใหญ่ แต่จะเจอพี่ที่เขาดูแลพยาบาล อุบัติเหตุ เขาก็ชอบมาบอกกับเราด้วยความหวังดีว่า ระวังนะถ้าไม่ทำให้ดีมันจะทะลุถึงกระดูก ต้องไปล้างแผล ตัดขา ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์ที่แต่ละคนเล่า แม้แต่เคสนี้เอง ว่าอ๋อ เมื่อเกิดอะไรขึ้นไม่มีการให้กำลังใจกับผู้ป่วย มันจะท้อแท้และทำให้การรักษายาก แต่ถ้าเราเข้าใจวิธีการที่ถูกต้องแล้วใช้ให้ถูกทิศทางมันจะเร็วได้อย่างมหัศจรรย์เลยค่ะ
ผู้ร่วมเสวนา : ผมขอโอกาสเสริมนิดนึง มันไปตรงกับที่อาจารย์อัดเมื่อวาน เรื่องใจ อาจารย์บอก ถึงจะมียาดี หรือไม่ดี คนดูดีหรือไม่ดี บางทีก็ไม่หาย บางทีก็หาย แต่ข้อสามที่อาจารย์บอกว่า ถ้ามีอุปทานหรือคนดูที่ดี แล้วดูที่ดี แล้วดูคนดีที่ถูกต้อง แต่จะหายได้ ถ้าไม่มีคนดูที่ถูกต้องไม่หาย ก็อย่าง ต่อให้ตัดขา แต่นี่ เราทำอย่างงั้นคือทางที่ถูกหรือไม่ถูกก็ให้พิจารณากันนะครับ แต่นี่เดินทางมากลับไม่ต้องตัดขา มันเห็นชัดว่า พระไตรปิฎกหรืออาจารย์เอามาขยายความ แล้วก็หลักของแพทย์วิถีธรรม มันพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้งมงาย แต่มันคือสัจจะที่พิสูจน์กันเห็นๆเลย ผมมองเห็นชัดมาก เป็นรูปธรรมชัดเจนเลย ขอบคุณมากครับ
ผู้ร่วมเสวนา : ขอเสริมนิดนึง โทษนะคะ เพราะว่า จากอันนี้เราสามารถเอาไปแบ่งปันได้ มันมีมุมมองก็คือ เหมือนเราทำสรุปบทเรียน จากอันนี้บอกว่า บทเรียนของผู้ป่วยก็คือ ไม่กังวล เขาก็ทำไป สี่เดือนไม่เร่งผล แต่ก็สำหรับสี่เดือน เขาคิดว่าเร็วมากสำหรับเขาแล้วหละ แต่ในส่วนผู้ทำเร่งผล ก็เข้าใจก็ทำไป ตัวเองก็ได้ สุดท้ายแล้วผู้ดูแลประทับใจ สิ่งที่เขาได้สุดท้าย แต่อย่างส่วนเรา เราก็คือนี่แหละ ที่พี่ป้อมบอกว่าจริงๆแล้วเพราะว่า เขามีข้อมูล มีความรู้ การแพทย์วิถีธรรม เขาบอกเลยนะคะ ว่าถ้าเขาไม่ได้มารู้จักฉี่ ของอาจารย์หมอเขียว เขาพูดอย่างงี้ ถ้าไม่ได้มารู้จักการใช้ฉี่ของอาจารย์หมอเขียว เขาไม่มีทางเลยนะ ว่าเขาจะผ่าทางตันยังไงได้ เมื่อกี้ยังคุยกับพี่อรเลยนะว่าถ้าการแพทย์แผนปัจจุบัน ผ่าทางตันสุขภาพไม่ได้เนี่ย หมอพยาบาลและผู้ป่วย จะพากันป่วยตาย เนี่ยตอนที่ได้ยินเขาว่า เขารู้สึกว่าเขาเจอทางตัน พอเจอทางตันแล้วมันมีทางออก นั้นเขาก็ผ่าทางตันออกมาด้วยน้ำปัสสาวะที่เขามีองค์ความรู้นี้มาแล้วในส่วนหนึ่งที่เห็นก็คือ เขามีความเคารพและศรัทธา ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม อาจารย์หมอเขียวแล้วก็หมู่มิตรดี เมื่อเรามีองค์ความรู้ เรามาเจอหมู่มิตรดี อันนี้ที่เมื่อกี้บอกว่ามันคือสุดยอดพร้อมกับวิบากดีของเขา รู้สึกว่าได้ร่วมประทับใจแล้วก็ยินดีกับเขาไปตรงนี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ เนื่องจากเราเหลือเวลาอีก4 นาที รายการก็จะจบนะคะ ก็ขออนุญาติสรุปนะคะ วันนี้ถ้าท่านสังเกตุนะคะ การขึ้นมาของแต่ละวิทยากรนะคะ คนแต่ละท่านเนี่ยก็จะมีแผลจากเหตุแตกต่างกัน แผลจากวิบากกรรมเก่า แผลจากวิบากกรรมเก่าบวกไม่รู้เพียรรู้พักต่างๆ หรือว่าออกมาจะเป็นแผลแบบฉุกเฉินหรือแผลเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนี่ยค่ะ สิ่งที่เราบอกได้นะเวลานี้ก็คือ แต่ละท่านเนี่ยใช้น้ำปัสสาวะ รักษาในรูปแบบต่างๆ แล้วก็สุดท้ายเนี่ยก็คืออาการดีขึ้น แต่ทุกท่านไม่ได้ใช้น้ำปัสสาวะอย่างเดียวนะคะ ซึ่งทุกท่านเนี่ยต้องบอกเลยว่า ถ้าตัวเองที่ศึกษามาเนี่ย ทำปริญญาเอกเนี่ย ทำเรื่องเภสัชวัตถุก็คือน้ำปัสสาวะ ที่สำคัญกับบุญค่ะ ก็อยากจะบอกเลยว่า ท่านทำเรื่องใจ เรื่องบุญค่ะ ก็คือในเรื่องของการทำบุญโดยที่ ไม่เบียดเบียน ในเรื่องของการงดเนื้อสัตว์ ไม่เบียดเบียนในเรื่องของจิตวิญญาณของผู้อื่น ญาติพี่น้องสุดท้ายคือยอม โดยส่วนใหญ่ แล้วก็ไม่เบียดเบียนตนเองโดยการสร้างทุกข์ทับถมตนโดยการที่กลัวกังวลหวั่นไหวต่างๆ และนี่ก็คือถ้าท่านทำสิ่งเหล่านี้ที่เรียกวว่าการทำบุญนี้ได้ดี จะเพิ่มประสิทธิภาพของเภสัชวัตถุ คือตัวปัสสาวะ ให้มีประสิทธิภาพอย่างมหัศจรรย์อย่างที่ทุกท่านเล่าไปค่ะ วันนี้นะคะ ก็ขอขอบพระคุณทุกท่านนะคะที่ให้โอกาสพวกเราได้บำเพ็ญค่ะ ขอบคุณค่ะ เอ้า สาธุ
จะมีท่านผู้ชมทางบ้าน ที่จะขอแสดงความเห็นสั้นๆ ซักประมาณนาทีนึง 1-2 นาทีนะ แล้วก็มีคณะผู้วิพากษ์หลังจากนี้ให้ผู้วิพากษ์ท่านละไม่เกิน 5 นาที กระชับๆ วิทยากร ที่จะวิพากษ์นะ นั่งอยู่ข้างหน้า ข้างในนี้ก่อนก็ได้ ทีมผู้ร่วมเสวนา เอ้า ทีนี้ก็ทางท่านผู้วิพากษ์ ให้ทางบ้านก่อนก็แล้วกัน เห็นว่ามีทางบ้าน ที่ขอแสดงความเห็นซักหนึ่งถึงสองนาที เชิญ พร้อมยัง
สวัสดีค่ะ ดิฉันฐาปนีย์ เป็นแม่บ้านดูแลสามี ซึ่งป่วยเป็นเบาหวานค่ะ แล้วเป็นแผล ซึ่งตอนนี้แผลของคุณพ่อบ้าน ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว เนื่องจากว่าใช้น้ำฉี่ รักษาแผลค่ะ แรกเริ่มเดิมทีที่ใช้ ตอนนั้นที่ว่าเป็นแผล ก็เกิดจากการไปกัวซา ข้างส้นเท้า แล้วทีนี้ ส้นเท้ามันเกิดเป็นพองน้ำข้าว แล้วเขาเอง เขาเป็นเบาหวาน แล้วแผลมันจะหายช้ามาก แล้วทีนี้แผลอักเสบ อักเสบก็เกิดการแบบ เชื้อแล้วก็มีไข้ ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล พอเข้าโรงพยาบาล หมอก็คว้านแผล ทีนี้ เกิดก็ต้องทำแผล หมอก็ทำแผล ให้มาตลอด แล้วก็ ให้เรากลับมาบ้าน ก็ไปล้างแผล ที่อนามัยใกล้บ้าน พอตอนนั้นดิฉันตอนนั้นเขามีเข้าค่ายวิถีธรรมที่ชะอวด เพราะฉันอยู่ที่สุราษฎร์ก็ไปเข้าค่ายที่ชะอวด 7 วัน พาพ่อบ้านไปด้วย แล้วตอนนั้น ที่ไปค่ะ แผลมันก็ยังแบบ มันยังไง มันยังเป็นแผลกว้างอยู่ แล้วที่จะใช้ล้างแผล ก็ใช้รองเท้าบู๊ธ ซึ่งการล้างแผลมันต้องใช้ขั้นตอนหลายอย่างนะคะ ถ้าว่ามีน้ำเกลือ มีอะไรพวกเนี้ย แต่ว่าพอไปที่นั่นมีจิตอาสาแนะนำบอกว่า ให้ใช้รองเท้าบูธ ก็เลยใช้รองเท้าบูธ เพราะว่าได้แช่ไปประมาณครึ่งชั่วโมง ถึงจะเอาออกมาทำแผล ทำแผลเสร็จเรียบร้อยก็เข้าค่ายอยู่ที่นั่น อาหารก็เป็นอาหารรสจืด กินแบบไม่มีเนื้อสัตว์เลยค่ะ แล้วตอนนั้นก็ไม่ได้กินยาเลยนะคะ ตอนที่ว่าอยู่ค่าย น้ำตาลจากช่วงนั้น น้ำตาล 300 กว่า ก็ลงมาเหลือ 160 ค่ะ ไม่ได้กินยาเลยนะคะ แต่ว่าร่างกายเขาก็ไม่มีอาการอ่อนเพลีย หรือมีอาการแบบ วูบๆวาบๆ เหมือนคนขาดน้ำตาลหรืออะไรซักอย่าง ไม่มีเลยค่ะ ทีนี้พอออกจากค่าย อยู่ค่ายได้ 7 วัน พอออกจากค่าย ก็มาบ้านพ่อบ้านเขาเป็นคนที่ว่า เรื่องอาหารการกินเนี่ย คือเขาอยากกินอะไรเขาก็กิน สั่งทุกอย่าง เมนู ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ อะไร ขาไก่ ขาหมูอะไรทุกอย่าง เนื้อสัตว์ใหญ่ทั้งนั้นที่เขากิน ก็เพราะว่าเขาไม่ได้สนใจที่ว่า อะไรอย่างนี้ แต่ว่าแผลเนี่ย คือแม่บ้านเป็นคนดูแลเอง เพราะว่าทำแผลให้เขาเองค่ะ วิธีการก็คือทุกครั้งที่ทำแผล เนี่ยจะใช้ น้ำปัสสาวะ ล้าง ทีนี้แผลก็เริ่มดีขึ้น ปรากฏว่าแผลข้างใน ช่วงนั้นเราคิดว่าหายแล้ว เราเลยไม่ได้สนใจเขา ทีนี้เขาไปทำงานพอไปทำงานกลับมาแล้วใส่รองเท้ามันก็เริ่มอับเหมือนมีอักเสบ แต่ตอนนั้นยาก็ไม่ได้กินเลย เขาก็มีน้ำตาลสูงขึ้น ปรากฏว่า แผลอักเสบต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง พอเข้าโรงพยาบาลทีนี้ น้ำตาลน่าจะสูงประมาณ 400 ตอนนั้นหมอก็คว้านแผลที่ส้นเท้าใหม่ คว้านแล้วก็ พออยู่ไปอยู่ไป ที่โรงพยบาล หมอก็ทำแผล เขาเรียกว่าตกแต่งแผล ถึงสี่ครั้ง ครั้งที่ 1 ผ่านไป ที่สองผ่านไป ที่ 3 ผ่านไป เราก็ได้แต่นั่งดู แต่ปรากฏว่า พอครั้งที่ 4 เนี่ย หมอเขาบอกว่า ถ้าเป็นครั้งต่อไปนี่จะต้องตัดขาแล้วนะ แต่ทีนี้ เรานึกในใจว่า เราเคยได้ยินเราเคยได้ใช้มาแล้ว ขอตัดสินใจใช้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แผลมันใหญ่มาก มันมาถึงเข่าเลยค่ะ แต่ก็ตัดสินใจนะคะ เพราะว่าหมอบอกว่าถ้าไม่ดีขึ้น ต้องตัดขา คราวนี้ ก็ต้องใช้วิธีที่ว่าเอาน้ำฉี่ใส่ขวด ราดบนแผลนั้นเลยค่ะ ราดไปบนแผล
หลังจากออกจากห้องผ่าตัด เราแอบหมอ แอบพยาบาลตอนกลางคืน ก็ราดเลย พอรุ่งเช้า หมอมาดูแผล หมอบอกว่าแผลดีมาก แผลแห้งค่ะ ทำแบบนั้นมาทุกครั้ง ที่ญาติ พยาบาล มาล้างแผล แล้วเราก็แอบเอาใส่ตลอด อยู่โรงพยาบาลมาประมาณ 22 วัน กลับมาบ้าน หมอให้กลับบ้าน พอกลับมาบ้านหมอบอกว่า ให้ไปล้างแผลที่อนามัยหรือโรงพยาบาลแต่ว่ามนไม่ได้ไป มนล้างเองที่บ้าน ใช้น้ำฉี่ล้างมาตลอดค่ะ บางทีของผู้ป่วยไม่พอ ต้องเอาแบบของเราช่วยด้วยค่ะ คือใช้ผสมผสานเลย ล้างแช่ ทำตลอดแล้วก็พันแผล เอง ใช้ผ้าก๊อต ซื้อผ้าก๊อตมาเอง ทำเองทุกอย่าง จนแผลดีขึ้น อย่างที่เห็นเนี่ยค่ะ ใช้เวลา ถ้าไม่ได้รู้เรื่องราวแห่งนี้ ณ ปัจจุบันนี้ คงจะไม่มีขาแล้ว ภูมิใจมากๆ ตอนนี้มีความรู้สึกว่า แบบ เหมือน มีบุญมากเลย แทนที่ว่าขาจะหายไป แต่ตอนนี้มีขาครบ
อ้าว โอเคนะ เป็นแม่บ้านเขา ที่ดูแลพ่อบ้าน ที่เปิดเผย ใจตัวเองว่า ถ้าไม่ได้เรียนรู้ เรื่องแพทย์วิถีธรรม เรื่อง ปัสสาวะบำบัด นะ ที่จะใช้ แล้วก็เขาก็ใช้ควบคู่กันกับ การดูแลสุขภาพ แผนปัจจุบัน ถ้าไม่ได้พบวิธีนี้นี่ ก็จะต้องถูกตัดขา นะ ชีวิตก็ต้องเป็นทุกข์มากเลย เพราะคุณหมอก็นัดที่จะตัดขาแล้ว นี่ก็เป็น ความจริงอีก 1 ชีวิต ที่ไม่ต้องตัดขา เพราะว่า สามารถที่จะ เข้าใจ เรื่องปัสสาวะรักษาโรค แล้วก็ไม่ได้มีอัตตา ที่จะบูรณาการณ์ร่วมกับการแพทย์แต่ละแผน อย่างพอเหมาะ ใช้ทั้งปัสสาวะบำบัด ใช้ทั้งการแพทย์วิถีธรรม ใช้ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่บูรณาการณ์อย่างพอเหมาะ ก็ทำให้เกิด ความปาฏิหารย์ก็ว่าได้ ถ้าแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว คุณหมอก็ยืนยันอยู่แล้วว่า ก็ต้องตัดขา แต่พอมีแพทย์วิถีธรรม มีปัสสาวะ รักษาโรค เข้าไปร่วมด้วย ก็ทำให้ การรักษา ดีขึ้น จนถึงขั้น แผลหาย แล้วก็ไม่ต้องตัดขาในที่สุดนะ ก็เป็นสิ่งที่ น่าดีใจ กับผู้ป่วย ที่ชีวิตนั้นไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการตัดขา
จากการถอดเทป การเสวนา งาน 25 ปี วิชชาการการแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชาติ