การใช้น้ำปัสสาวะกับแผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง : ประภารัตน์ ตันศิริวัฒนะกุล

กรณีศึกษา แผลติดเชื้อหนอง

คุณ ประภารัตน์ ตันศิริวัฒนะกุล

ผู้ดำเนินรายการ : ท่านนี้ก็แข็งแรงอีกท่านหนึ่งค่ะ เป็นสิ่งที่พอตอนแรกเรา ผู้ดำเนินรายการเนี่ย ไม่ทราบหรอกว่าแต่ละคนแข็งแรงหรืออะไรยังไง  พอไปสัมภาษณ์เบื้องต้นเนี่ย จริงๆนะ คนแข็งแรงเนี่ย ก็สามารถมีวิบากร้ายแบบอยู่ๆ เกิดขึ้นได้ เหมือนกัน นะคะ ไม่ใช่ว่าเอ่อ ต้องแบบคนนี้อ่อนแออย่างเดียวนะคะ คนแข็งแรงแต่ละครั้งที่เป็น ก็รู้สึกเลยว่าเป็นไฮไลด์ทุกคน ดูยิ่งใหญ่ค่ะ เรามาพบกับคุณประภารัตน์กันค่ะ อันนี้เขาบอกว่าเขาเป็นโรคไฟลามทุ่งค่ะ เป็นยังไงคะ ช่วยเล่าด้วยค่ะ

      ประภารัตน์ : ก็คือปกติก็เป็นคนแข็งแรง แล้วก็ เข้ามาเรียนรู้ แพทย์วิถีธรรมตั้งแต่ปี 55 นะคะ ก็สั่งสมประสบการณ์ทั้งหมดเนี่ย ก็คิดว่าตัวเองแข็งแรงแล้วก็จะเอาความรู้ทั้งหมดเนี่ยมาบำเพ็ญนะคะ ก็มาดูแลครอบครัว พ่อแม่ อะไรอย่างเงี้ย แต่ตัวเองก็ดูของตัวเองโดยปกติอยู่แล้ว ก็คือปรับสมดุลร่างกาย ก็มีแวะบ้างนิดหน่อยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ก็แวะกินอาหารพิษบ้างนิดหน่อย ไปตามแบบนิดๆหน่อยๆ เสร็จปุ๊บ เราเป็นคนแข็งแรงแล้วคนเป็นคนอึด คือทำงานได้ ก็รับทำก็เริ่มจากสวนป่านาบุญ 3 3วัน 5วัน แล้วก็มาต่อสวน 9 ก็รับงานครัว ทำงานอื่นไม่ค่อยเป็น สื่อก็ไม่เป็น อะไรก็ไม่เป็น พอทำครัวเนี่ยรู้สึกมันมั่วได้ คือมันมั่วๆๆ เสร็จ คือมันสามารถที่จะเอาอะไรใส่ก็ได้ โดยไม่มีสูตรตายตัว คือถ้าอาหารข้างนอกเขาก็จะมีสูตรอัน 1 2 3 ต้องเป็นแบบนี้ แต่แพทย์วิถีธรรมเนี่ย จะใส่อะไรก็ได้ จะใส่แบบไหนอะไรก็ได้ แค่ปรุงเกลือ ให้รสมันกลมกล่อมแค่เนี้ยจบ ก็คือมั่วได้ ก็สนุกกับการสันหาจะเอาโน้นใส่ นี้ใส่เนี่ย ก็เลยมีความรู้สึกว่า เพื่อนๆก็บอกว่า เนี่ย ทำอาหารให้คนอื่น ให้เพื่อนๆ อร่อยเนี่ย แต่จริงๆ เราก็ไม่ใช่แบบไปสรรหามากนะเพียงแต่ เราใช้เครื่องเทศ อะไรพวกเนี้ย แล้วเราก็ปรุงด้วยเกลือ ส่วนพวกซอสอะไรพวกนี้เราไม่ได้ใช้ เราใช้แค่เกลือกับน้ำตาล กับน้ำมะขามอะไรพวกเนี้ย เป็นธรรมชาติ แต่อาจจะเข้มข้นด้วยบางตัว เครื่องเทศบางตัวเราก็สรรหาของเรา ก็ทำสรรหาก็คือ เพื่อนๆก็บอกว่าทำอาหารอร่อย แต่เราก็อร่อยก็อร่อย ก็จบ แต่เราก็ไม่ได้ชื่นชมมากมาย เพียงแต่ก็รู้ว่า เราก็สงสัยว่า เราทำแค่นี้ทำไมอร่อย ใช่ไหมคะ ก็สงสัยนิดๆอะไรอย่างเงี้ย ก็เลยถามหมู่ว่า ทำไมเราถึงทำอาหารอร่อย เขาบอกเราเครื่องถึงอะไรพวกเนี้ย เราก็เลยจำตัวนั้นมา แล้วเสร็จปุ๊บ เราก็มาทำที่สวน 3 ทำครัวเสร็จแล้วก็มาช่วยสวน 9 สวน9 เสร็จแล้วก็ต่อด้วยค่ายพระไตรปิฏกเดือนมกรา ปี 62 ปี62 ต้นปีนี้ค่ะ ก็คือ สวน 3 ประมาณ 4-5 วันแล้วก็สวน 9 ประมาณ 5-6 วัน ก็ปาเข้าไป ออกจากบ้านตั้งแต่ต้นเดือน จนไปเป็นลงจากรถไฟที่ชะอวด มีความรู้สึกไม่ค่อยสบาย รู้สึกตัวร้อนๆ ก็ยังไม่ได้มองขาตัวเอง พอไปถึงสวน 9 ไปสวน 2 ไปลงรถไฟแล้วก็เข้าสวน 2 พอมาก้มดูตัวขาตัวเอง อุ๊ย ขาเราทำไมพอง แต่เรารู้สึกว่าตัวเราไม่สบาย แต่เราไม่ได้มองขาเรา ก็เลย พอไปถึงสวน 2 ก็ไม่ได้ทำอะไรหละ กางเต๊นท์แล้วก็นอนอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ก็เนี่ยค่ะ

ภาพที่ 1 : แผลติดเชื้อ ลามบวมปะทุร้อนอยู่ด้านใน

 บวมขึ้นมา เป็นเหมือนกับ น้ำไฟลวก เหมือนกับไฟลวก แสบ แต่มันปะทุอยู่ข้างใน คือขาจะร้อนมาก แล้วก็จะบวม เท้าจะบวม ตาตุ่มจะมองไม่เห็น ก็จะเป็นข้างเดียว ข้างขวา ก็เราก็เริ่มปฏิบัติก็ใช้ 9 เม็ดนี่แหละค่ะ ดีท๊อกซ์เช้าเย็น ปรับอาหาร แต่อาหารเนี่ยทานไม่ค่อยได้ ใช้น้ำปัสสาวะ ดีท๊อกซ์ ก็คือปกติเราก็ใช้น้ำปัสสาวะดีท๊อกซ์อยู่แล้วเราก็ดีท๊อกซ์เช้าเย็น เพื่อเรารู้ว่าร่างกายข้างในร้อนมันประทุ คือใจเรารู้อยู่แล้วว่าอันเนี้ยคือร้อนเกิน เราก็เลยขับยังไงให้ให้ความร้อนในร่างกายให้ออกให้ได้มากที่สุดก็คือใช้ดีท๊อกซ์ ใช้แช่ ตอนแรกก็โปะ พวกสมุนไพร ตอนหลังก็พอดีเค้าเอาบู๊ธ สูงๆแล้วก็ใส่ฉี่ก็ไปขอฉี่เพื่อนเพราะฉี่เราไม่พอ ขอฉี่เพื่อนแล้วขอน้ำแข็งเขามาใส่มาแช่ เออมันก็เย็นดีอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ก็แช่ได้วันเดียวเพราะว่ามีความรู้สึกว่า มันจะรบกวน เพื่อนอะไรอย่างเงี้ย ก็เลย แค่พอก คิดว่าจะกลับบ้าน พอครบกำหนดที่จะกลับบ้านก็กลับบ้าน แต่แบบว่าพี่หมอรัตน์เขาก็ชวนเข้าโรงพยาบาลโพธาราม ก็ไม่ไปค่ะ จะกลับบ้าน เพราะว่า เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเรากลับบ้าน เราจะสามารถที่จะใช้ ใช้รักษาตัวเองได้เต็มที่มากกว่า แล้วมันสะดวกสบายกว่า ก็เลยกลับบ้าน กลับบ้าน คือก็ลงรถไป แล้วก็เข้าไปเอารถที่สวน 3 แล้วก็กลับบ้าน กลับบ้านก็เลยเริ่มปฏิบัติการ ตรงเนี้ย คืออยู่ที่สวน 2 ก็คือเริ่มพอง พองแล้วก็บวม แล้วก็คือตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมมันเกิด แต่รู้ว่าร่างกายเราอ่อนแอ เราเหนื่อย เราพี๊ค คือเราทำงานเยอะเกินไปจนมันเหมือนกับหมดแบต แบตมันหมดแต่เราก็ยังดื้อดึงเพราะว่า มันยังไม่ล้มคาสนามรบ แต่มันมาล้มตอนที่ ศึกมันสงบแล้ว คือทำงานเสร็จแล้ว สองสวนเสร็จแล้ว มาค่ายพระไตรปิฏกส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยได้ทำอะไร ก็ได้พัก ได้ฟังธรรม ได้พัก ก็ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้งาน งานก็ไม่หนัก เพียงแต่ว่า เราหลงว่าเราแข็งแรง เราหลงว่าเราทำได้ เพราะเราทำได้ เพราะวันสุดท้ายที่เราออกจากสวน 9 เนี่ย เรายังแบก พี่หมอรัตน์ลงจากบันไดชั้นสองเลย ก็อุ้มกับพี่แหม่มสองคนลงจาก เพราะว่าพี่หมอรัตน์เขาเป็นก่อน แล้วก็ช่วยอุ้มลงมาไว้ชั้นล่าง ก็ยังอุ้มกัน ก็คิดว่าแข็งแรง แบตมันยังไม่หมดไงคะ มันมีก๊อก 2 ก็เลยคิดว่า ทะนงตัวเอง ว่าตัวเองเนี่ยแข็งแรง ทำได้หมด คือไม่คิดว่างานพวกเนี้ย เป็นงานที่ ทำให้เราหมด พลังได้ ได้เยอะ เพราะว่าเราไม่คิดอะไรเลย มีหน้าที่ ทำงานคือ ชีวิตมีแต่งาน ชีวิตมีแต่งาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย คิดว่ามีความสุขกับการทำงาน มีเค้าก็บอกว่า เพื่อนๆ เขาว่า เราเป็นหนู ปั่นจักร อยู่นิ่งไม่ได้ อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องปั่นจักร เพื่อนเขาว่าเราตั้งหลายปีมาแล้วนะ แบบว่าแต่เราก็รู้นะว่าเราเป็นคนทำงาน แต่เราก็เออ ยอมรับ หึๆก็พอดีว่าพอกลับบ้าน เราก็ใช้ 9 เม็ด เนี่ยแหละค่ะ ก็ดีท๊อกซ์ เช้าเย็น บางวันก็ 3 ครั้ง ใช้น้ำปัสสาวะแล้วก็ ดื่มน้ำสมุนไพร แล้วก็ดื่มถ่าน ดื่มถ่าน ผงถ่าน แล้วก็ อาหารเนี่ย มีปัญหาคือ ช่วงแรกๆ ทานไม่ได้เลย ช่วงแรกๆเนี่ย ที่กลับถึงบ้านเนี่ย ช่วงข้างบนหนาว ช่วงข้างล่างร้อน ร้อนครึ่งตัว ข้างล่างนี่ร้อนมากเลย แต่ข้างบนนี่หนาว ก็แก้โดย กินต้มน้ำสมุนไพรฤทธิ์ร้อน กินจนให้มันข้างบนมันอุ่นพอดี กับข้างล่าง แล้วก็มาแก้ร้อนใหม่ ก็ใช้เนี่ยค่ะ อาหารก็กินได้นิดเดียว คือกินอะไรไม่ได้ กินข้าวโรยข้าวต้มโรยเกลือ กินข้าวต้มโรยเกลือ ส้มตำยังกินได้นิดหน่อย ผลไม้ก็กินได้นิดหน่อย ทุกอย่างกินได้ไม่เยอะ ช่วงที่พีค สุดๆ สูงสุดเนี่ยค่ะ คือเดินไม่ได้วันหนึ่ง จะเข้าห้องน้ำ เดินไม่ได้ ยกขาเวลานอนเนี่ย เราชูขาใช่ไหม เวลาจะยกขึ้นมาเนี่ย ยกไม่ได้ ปวดมาก นับหนึ่งถึงร้อยยังไม่หายปวดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็นั่งแล้วก็ให้เฮียลากเก้าอี้ ไถๆเข้าห้องน้ำ เพื่อไปดีท๊อกซ์ พอดีท๊อกซ์ออกมาก็พอเดินได้นิดหน่อย ดีท๊อกซ์ด้วยปัสสาวะทุกครั้ง ก็ดีท๊อกซ์ครั้งละ 3-4 กระบอก ก็พอเสร็จก็ถอยหลังกลับมาแต่พอดีเฮียเขาก็จะได้ทำกับข้าวให้ ก็สูตร 1 เนี่ยแหละค่ะ ก็ได้ช่วยเหลือ ก็ได้กำลังสำคัญ ถ้าไม่มีเขาก็ไม่รู้ ก็คงกินปัสสาวะตลอด แต่กลางคืน เนี่ย กินปัสสาวะตลอด คือปัสสาวะมาก็กินปัสสาวะ คือกินปัสสาวะเนี่ย มากกว่ากินน้ำสมุนไพรฤทธ์เย็น ก็คือใช้น้ำปัสสาวะ กิน กิน กิน เสร็จ จนบางทีเนี่ย ความรู้สึกเราอิ่มละ เราพอหละ เรากินไม่ไหวละ ก็หยุด ก็ทิ้งบ้าง ก็คือเหลือไว้หน่อยนึงแล้วพอดีได้น้ำปัสสาวะของอาจารย์ จากฮอมบุญ กับที่เฮียเขา เขาเก็บไว้เป็นน้ำปัสสาวะ ก็แผลเนี่ย ก็ใช้ น้ำปัสสาวะของอาจารย์ ตอนแรก แล้วก็ใส่น้ำแข็งแล้วมาประคบ ประคบ ประคบ ทั้งวันคือ ขาเนี่ย มันบวม แดง ร้อน ก็เลย ต้อง ใช้ผ้าเลย ใครว่าแผลนี่ไม่ได้ถูกน้ำร้อนนี่ไม่จริง ใช้เลย พอใช้เสร็จ ความร้อนมันก็ลงแป๊บนึงแล้วมันก็ยังร้อนอยู่ ก็ทำทั้งวันเลย ตั้งแต่ ช่วงบ่าย ครึ่งบ่ายหลังเนี่ย จะทานน้ำปัสสาวะ แต่ช่วงเช้าจะใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นพอก ก็คือครึ่งเช้าอย่างเงี้ย ไปเรื่อยๆทุกวัน แล้วพอกลางคืนเนี่ย มันจะคัน มันจะคันแล้วมดมันก็จะมา นอนสองทุ่ม ตื่นตีสองทุกวัน มดมา มดมาก็คัน คันเสร็จก็นอนไม่ได้ แล้วมาดูแผล แผลเสร็จทำยังไง เค้าก็บอกว่า อย่างพี่อุ๋ยเขาบอกว่า แผลอย่างงี้ ห้ามลอก เพราะว่า แผลเค้าจะประกบเอง เอ่อ ประกบเองก็ไม่ต้องลอก แผลจะได้หายไว

ภาพที่2 : แผลดีขึ้นหลังปรับสมดุลและใช้น้ำปัสสาวะ

พอไปพอมาโอ้โห ไม่ไหวละ ก็ลอก พอดีมันมีแผลอันนึงที่แตก แล้วมันลอกแล้วมันขึ้นสะเก็ด มันต้องลอก มันถึงจะขึ้นสะเก็ด เราก็เลยกลางคืนนั้น ก็เลยนั่งลอก นั่งลอกไปลอกมา มันเหมือนกับเป็ดหนังเป็ดปักกิ่งเลย เป็ดปั่งกิ่งเนี่ย เวลาเขาทำเนี่ย เขาก็จะเป่าลมเข้าไปหนังเพื่อให้หนังกับเนื้อมันแยกกัน แล้วเขาก็จะอังให้มันกรอบๆ แล้วเราก็ชอบกินเป็ดปักกิ่งมากเลย เราก็นั่งลอกไป เป็ดปักกิ่ง นั่งลอกหนัง นั่งลอกหนัง จนลอกจนหมด หมดไปก็เออ สงสัยเรากรรมตัวเนี๊ย มาทันเรา ก็ตั้งจิตเลยว่า ขออโหสิกรรมเป็ดตัวที่ 1 เป็ดตัวที่ 2 เป็ดตัวที่ 3 ก็ใช้เวลาแผลตัวเนี้ย ใช้ประมาณเดือนนึง เดือนนึง ส่วนจะมีตุ่มนึงที่ขึ้นอยู่ตรงใต้หัวเข่า ที่คล้ายๆกับของหมายค่ะ ก็คือ มันมีตุ่มนึงที่มันขึ้นมามันทำให้เดินไม่ได้ มันเป็นอักเสบ ตัวนั้นใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ก็คือมันจะขึ้นมาประมาณวันที่ 10 กว่ากุมภา แต่พองเนี่ย มันขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 มกรา ก็คือ มันอาจจะความร้อนมันดันออกมา แล้วมันออกมาไม่หมด มันยังเหลืออยู่ ตรงเนี้ย เออ มันก็ทำให้เราเดินไม่ได้ เดินไม่ได้อยู่แล้วก็คือน้องชายเขาเสียก็ยังไปงานศพไม่ได้ ก็แบบไปไม่ได้ก็บอกเขาบอกเราไปไม่ได้ขาเจ็บ

ภาพที 3 : เมื่อล้างด้วยน้ำปัสสาวะ และปรับสมดุล แผลค่อย ดีขึ้น,14 กุมภาพันธ์ 62

พอดีพี่สาวเขามา เขามาเห็นแผลเรา เฮ้ย อย่างงี้ต้องไปโรงพยาบาล พี่สองคนเขาพูด น้องชายเขาก็พูด อย่างงี้ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว อือๆๆๆ ไปๆๆ แต่เราก็ไม่ไป เราก็เฉยๆ แล้วข้างบ้านเขาก็มาดู เฮ้ยทำไมเป็นเยอะแยะขนาดนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็น พอเขามาเราก็เอาขาลง พอดีมีน้องคนหนึ่ง ที่เขาเคยมาเข้าค่ายที่เนี่ยค่ะ เข้าที่สวน 3 อยู่บ้านใกล้ๆกัน เขาเห็นเรา เราก็บอกว่า เออ เขาก็แวะมาเที่ยวที่บ้าน ก็ไม่รูจะพูดยังไงเนาะ ว่าเราไม่สบาย เราก็ถลก แค่ข้างหน้า ข้างหน้ามันมีนิดเดียว แต่ข้างหลังมันมีเยอะ เราก็เปิดข้างหน้าให้เขาดู เขานั่งตะลึงเลย เขานั่งอึ้งไปตั้งเกือบนาที เขางงมากเลย ทำไมเราเป็นได้ เราบอกว่า มันก็เป็นอย่างเงี้ย ตอนหลังเขาเริ่มเข้าใจว่า เออ มันก็สามารถเป็นได้นะ ขนาดเขาก็เห็นเราแข็งแรง เราก็คิดตัวเอง เราแข็งแรง และเราก็เมม(memory)ของเราว่า เราเป็นคนแข็งแรง เราก็ไม่ได้เป็นโรคอะไร  ปวดมันก็ปวด เมื่อยมันก็ปกติ ธรรมดา มันก็ทำงานมากมันก็เมื่อยอะไรอย่างเงี้ย มันไม่ได้เจ็บข้างใน ข้างในเราคิดว่าข้างในเราดี แต่เราก็มีความรู้สึกว่ามันโผล่มาข้างนอกดีละ ดีกว่ามันอยู่ข้างในที่มันมองไม่เห็น ก็คิดในแง่ที่ว่า ถ้ามันอยู่ข้างในแล้วข้างนอกเราสวย ข้างในมันเน่าเฟะ สู้เราเป็นข้างนอกดีกว่า เราเห็นแต่ข้างในเราดี เราคิดอย่างงี้ คิดในมองมุมอันนี้เพื่ออย่างน้อย ใจเราก็จะไม่ทุกข์มาก แล้วเราก็ยอมรับสภาพว่า ที่เราเป็นเนี่ย การกระทำของเราทั้งนั้นแต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นตัวไหนที่แท้จริงแต่เป็ดปักกิ่งนี่น่าจะชัวร์ หึๆๆๆ แล้วกลางคืนมันก็นอนไม่หลับ คือทั้งเดือนเนี่ยตั้งแต่เป็นมาทั้งกลางคืนตื่นตีสองถึงตีสี่มานั่งอ่านหนังสือ นั่งอ่านหนังสือของอาจารย์จบเป็นเล่มสองเล่ม มาเป็นหมอนี้สองรอบแล้วก็ของพ่อครูที่จนแบบนั้นหนะ ก็เกือบจะจบ คือกลางคืน มันนอนไม่ได้ มันนอนไม่หลับแล้วมันคันถ้าเรานอนนะ มันก็คันแล้วมดมันก็มา มดนี่นะ เตียงนี่รอบเลย เผลอแป๊บเดียว มาอีกละเป็นขโยงเลย ก็ใช้วิธีนี้ แต่ใจตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนะฮะว่ากังวลอะไรเนี่ย มุ่งมั่นว่าศาสตร์นี้แพทย์วิถีธรรม รักษาหายได้ เราช่วยตัวเองได้ มุ่งมั่นตัวเดียว ศรัทธา แพทย์วิถีธรรมว่า เราตัวเราศักยภาพตัวเรา รักษาหายได้ แต่จะหายเร็วหายช้า ขึ้นอยู่กับวิบาก คิดแค่เนี้ย แล้วก็ทำ มีหน้าที่ก็ทำไป พอกไป มันร้อนก็ทำเย็น ร้อนก็ทำเย็น เย็นก็ทำร้อน อย่างเงี้ย ก็สับไปสับมาอย่างเงี้ย จน ณ วันนึงพอมันหายเนี่ย คือแผลมันเริ่มตกสะเก็ด เกือบๆเดือน แผลมันเริ่มตกสะเก็ด ไอ้ความใจจร้อนของเรามันก็เลยไปแกะ ๆๆๆ มันก็มีเลือดซิบๆเนาะ มือมันคันอะไรอย่างเงี้ย หึๆๆๆ ก็เราก็ดูว่า ทำไมเราไปแกะ เพราะเราอยากหาย คือเราก็ใจร้อนเราก็ปรับใหม่ เอ้ย เดี๋ยวก่อนก็ได้เนาะ พรุ่งนี้มันขึ้นคือเนื้อ เนื้อร่างกายเค้าก็จะสร้างทุกวันทุกนาที พอไปอีกวันเขาก็จะหายแต่เนื่องจากใจร้อนเราก็มาดูใจว่าเราใจร้อน การครั้งนี้ ความไม่สบายครั้งนี้ ทำให้เรามีความรู้สึกว่า เราต้องรู้เพียรรู้พัก คืออย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว ทำแบบเนี้ย มันทำให้เราอย่างน้อยเนี่ย เราสะดุดไปเดือนนึง คือเราไม่สามารถไปค่ายภูผาเดือนกุมภาได้ เพราะอะไรเพราะเราโหมงานเยอะเกินไป ทำให้เราไม่พัก ถ้าเราพัก ดีๆ เราก็สามารถขึ้นภูผาได้ ได้บำเพ็ญได้ ได้มีช่วงจังหวะ ช่วงจังหวะของร่างกายแล้วก็ ทำให้มันพอดีกับตัวเรา แต่เราใจร้อน เราคิดว่าเราเราจะมุ พอมุขึ้นมาเนี่ย คิดว่าผลเสีย มันมีเยอะกว่าผลดี ทำให้เราเป็นบทเรียนว่า การทำงานทุกอย่าง ต้องมีความพอดี ข้อ 9 ตกค่ะ สอบตกข้อ  9 ค่ะ ไม่รู้เพียรรู้พักค่ะ ขอบคุณค่ะ

ภาพที่4 : แผลตื้นขึ้น เป็นลำดับ ๆ

      ผู้ดำเนินรายการ : ก่อนหน้าก็ข้อ 9 เหมือนกัน ก็เดี๋ยวขอสรุปของคุณประภารัตน์นิดนึง ก็คือหลักแรกๆเลยก็คือใช้น้ำปัสสาวะแล้วก็ เหมือนช่วงแรกยังใช้ตรรกะสองเรื่องก็คือ มันออกมาข้างนอกก็ดีนะ มันไม่ไปอยู่ข้างใน ก็เลยมีความผาสุกกับการปรับสมดุลร่างกาย หลักๆก็คือ ดื่มน้ำปัสสาวะตลอด แล้วก็ใช้สวนล้างลำไส้ โดยใช้ปัสสาวะ มีการพอกด้วยสมุนไพร กับพอกด้วยน้ำปัสสาวะที่ใช้หลักๆ ช่วงแรกก็จะเป็นลักษณะของการยอม ทำใจผาสุกได้เพราะว่าใช้เหตุผลว่าเอาออกมาก็ดีกว่านำเข้าไปแล้วก็เห็นการที่ไม่รู้เพียรรู้พักของตนเอง ต่อมาก็เริ่มตระหนักถึงกรรมนะคะ เป็ดปักกิ่งก็เข้ามานะคะ แล้วก็สุดท้ายก็ยังมี เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆที่เห็นชัดเรื่องความใจร้อนที่เป็นเรื่องเด่นชัด อุตส่าห์ไปแกะสเก็ดแผล ก็เป็นการเล่าที่ทำให้แต่ละคนก็จะรู้นะคะ ว่าอ๋อ ลืมอีกอย่างค่ะ สิ่งสำคัญคือศรัทธาในวิธีการรักษาค่ะ ศรัทธาในองค์ความรู้แพทย์วิถีธรรมที่ตนเองได้ศึกษาจนกลายมาเป็นจิตอาสา ศรัทธาในการใช้น้ำปัสสาวะนะคะ ก็คือเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ว่าวันนี้นะคะ โชว์ขาหน่อยได้ไหมคะ สื่อจะเห็นไหมคะ ว่าขาที่เมื่อกี้แบบว่า ค่อนข้างนะคะ โอเคค่ะ หายแล้วค่ะ โอเคค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ นะคะ คือเห็นขาแล้ว ดูแบบว่า เอ่อ สักโดยไม่เสียตังค์ค่ะ แล้วก็ หึๆๆๆๆ อีกอันนึงเราใช้ปัสสาวะ กลั่น ตอนสุดท้าย ออใช่ มีปัสสาวะที่ใช้มีทั้งปัสสาวะสด ปัสสาวะที่หมักแล้วก็ปัสสาวะของท่านอื่นด้วย แล้วสุดท้ายก็คือที่ได้รับความรู้จากอาจารย์ว่าปัสสาวะกลั่น ก็เลยเอามาใช้ เอามาดื่มช่วงสุดท้าย ตุ่มที่ตรงหัวเข่าเนี่ย มันมีหนองออกมาตลอดเวลา แล้วมันจะตุ่ยๆ ออกมา ก็เลยไม่รู้จะแก้ยังไง วันนั้น ที่อากิม ขอไปชิมอันนึงที่บ้านราษฎร์ อากิมก็กินแล้ว กินของเราแล้ว พอกินเสร็จมีความรู้สึกข้างในรู้สึกโอเคมันโล่ง แล้วเข่าเนี่ย ก็รู้สึกเริ่มดีขึ้น ปกติเราก็สเปรย์ขาเราอยู่แล้ว แต่กิน ดื่มเข้าไปอึกหนึ่งก็เลยทดลองว่า น่าจะช่วยให้เราคือภาวะเนี๊ยเราเป็นมาประมาณ สามเดือน คือหนองมันจะอยู่ใต้เข่า มันจะออกมาตลอดเวลา เมื่อไหร่เรากินอาหารร้อนนิดนึง มันก็ตุ่ยๆออกมา เราเดินเราจะรู้เลยว่ามันเริ่มมาละ เราก็จะแคะมันเพื่อเอาหนองออกเพื่อเราจะได้สบาย มันก็ไม่ออกสักที มันก็จะเป็นอยู่เรื่อยๆ จนวันสุดท้ายมันเด้งขึ้นมา มันเหมือนหัวสิวแข็งเลย แล้วจากวันนั้น ก็หมด ค่ะ แต่ก็ยังร้อนอยู่จุดเดียวตรงใต้เข่า คือความร้อนคิดว่ามันไม่หมด แต่เราก็พยายามเคลียร์ มันยังมีนิดๆ ก็มีปัสสาวะกลั่นด้วยนะคะ

ติดตามเนื้อหาอื่น ๆ ได้ในหน้า เสวนาน้ำปัสสาวะรักษาแผล ฯลฯ (งานสัมมนาวิชาการ 25 ปี การแพทย์วิถีธรรม)